ครีมกันแดด
พญ.ณัฎฐา รัชตะนาวิน
1. รู้จักครีมกันแดด และ SPF
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายของแสงแดด ในปัจจุบัน แพร่หลายมาก สามารถหาได้จากสื่อนานาชนิด และวิธีป้องกันแดดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ยากันแดด
ยากันแดด เริ่มมาจากชนผิวขาว ซึ่งมักนิยมการอาบแดด เพื่อให้มีผิวสีแทน (tan) เพราะถือเป็นสัญลักษณ์ ของสุขภาพที่ดี และฐานะร่ำรวย แต่มีปัญหาผิวไหม้แดง และมะเร็งผิวหนัง ทำให้มีการคิดค้นยากันแดด เพื่อให้ป้องกันผิวไหม้แดง แต่ยังคงความสามารถในการเกิดผิวสีแทน (tan) ดังนั้น การวัดประสิทธิภาพของยากันแดด ในระยะแรก ก็จะเน้นที่ความสามารถในการป้องกันผิวไหม้แดง นั่นคือ สามารถดูดซับแสง UVB ได้ดี หรือคือค่า SPF (sun protective factor)
ค่า SPF 15 มีความหมายว่า ในกรณีที่ท่านทายากันแดดอย่างทั่วถึง ในความหนา 2 มิลลิกรัมต่อพื้นที่ผิวหนังหนึ่งตารางซม. ท่านจะต้องใช้เวลาตากแดดเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่า จึงจะทำให้ผิวไหม้แดง ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์จริง ถ้าอยู่กลางแสงแดดจัด เวลาเที่ยง บริเวณชายทะเล ในเวลาประมาณ 15 นาที จะทำให้ผิวหนังแดงได้ การใช้ยากันแดด SPF 15 อย่างทั่วถึง จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น 15 เท่า จึงจะเกิดผิวไหม้แดง นั่นคือ เท่ากับ 15x15 คือ 225 นาที หรือ 3 ชม. 45 นาที แต่เนื่องจาก ในการทดสอบยากันแดด จะทำในห้องทดลอง โดยใช้หลอดไฟเลียนแสงอาทิตย์ ซึ่งมีการควบคุมอุณหภูมิ, ความชื้น, การเคลื่อนไหวของผู้ทำการทดสอบ ทำให้ค่าที่ทดสอบได้ มักจะสูงกว่าการใช้จริง ดังนั้น ในความเป็นจริง อาจจะเป็นเวลาประมาณ 2/3 ของเวลาที่ทดสอบ คือประมาณ 2 ชม. เป็นต้น
สำหรับข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ แม้ยาทากันแดด SPF>15 จะป้องกันผิวไหม้แดงได้ดี แต่ยังพบความคล้ำของผิวหนัง ได้เช่นเดิม เนื่องจากความคล้ำ หรือการเกิด tanning นั้น แสงที่มีบทบาทสำคัญ คือ แสง UVA แต่เนื่องจาก UVA ไม่ได้มีบทบาทที่สำคัญ ในการทำให้เกิดผิวไหม้แดง จึงไม่ได้รับความสนใจในระยะแรก ในปัจจุบันเริ่มมีข้อมูลว่า UVA นอกจากทำให้ผิวคล้ำแล้ว ยังสามารถทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง และทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจน และอีลาสติก ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งจะสังเกตเห็นได้มาก ในบริเวณที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ หรือคนที่ทำงานกลางแจ้ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนผิวไหม้แดง ซึ่งเกิดภายใน 24 ชม.หลังได้รับแสงแดด แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทีละเล็กน้อย อย่างช้าๆ และเห็นได้หลังจากถูกแสงแดดนับสิบปี
ยากันแดดในปัจจุบัน จึงได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันแสง UVA เพิ่มขึ้นด้วย แต่การวัดประสิทธิภาพ ของการป้องกันแสง UVA ยังไม่มีมาตรฐานสากล เหมือนค่า SPF สำหรับยากันแดดที่มีฉลากว่า กันได้ทั้ง UVA, UVB นั้น ในต่างประเทศ ได้มีผู้นำมาทดสอบ พบว่า ความสามารถในการป้องกัน UVA ต่างกันมาก และไม่สัมพันธ์กับค่า SPFที่สูงขึ้น เช่น ยากันแดดที่มีค่า SPF 45 ไม่สามารถกัน UVA ได้ดีกว่ายากันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นต้น ทำให้มีปัญหากับผู้บริโภค ในการเลือกใช้อย่างเหมาะสม
สารกันแดดที่มีฤทธิ์ป้องกัน UVA ได้ดี ในปัจจุบัน ได้แก่ Oxybenzone, Parsol 1789, TiO2, ZnO, Mexoryl SX, XL, Tinosorb M,S เป็นต้น ซึ่งยากันแดดในท้องตลาด ที่มีประสิทธิภาพกัน UVA ได้ดี น่าจะมีสารที่กล่าวแล้วข้างต้น ผสมกันอย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไป ในความเข้มข้น 2-3%
2.เลือกใช้อย่างไร? ใครจำเป็นต้องใช้?
สำหรับคนเอเชีย เช่น คนไทย ซึ่งไม่นิยมผิวคล้ำ และการอาบแดด การป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ในช่วงเวลา 9.00-15.00 น., สวมเสื้อผ้าปกคลุมมิดชิด, แว่นกันแดด, หมวกปีกกว้าง, หรือกางร่มเสมอ แต่ในกรณีที่ทำงาน หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง, เด็ก หรือการท่องเที่ยวทางน้ำ มีความจำเป็นต้องใช้ยากันแดด ควรเลือกดังนี้
ที่มีค่า SPF สูงกว่า 15
มีสารเคมีที่กัน UVA ได้ดีอย่างน้อย 2 ชนิด เช่น Oxybenzone + TiO2 หรือ Parsol 1789 + ZnO เป็นต้น
กันน้ำได้ ( water resistance, หรือ water proof)
และมีการทดลองว่า ไม่สลายจากแสง (photo stable)
ควรทายากันแดดให้หนาเพียงพอ 15 นาที ก่อนอยู่กลางแดด และอาจทาซ้ำทุก 15 นาที หลังจากทาครั้งแรก หรือทุก 1-2 ชม. ถ้าว่ายน้ำ หรืออยู่กลางแดดจัด เนื่องจากการทายากันแดดซ้ำ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการกันแดด ได้อีก 2-3 เท่า เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ มักทายากันแดดในปริมาณน้อยกว่าที่ควร
สำหรับการใช้ยากันแดด ประจำวัน ในผู้ที่ทำงานในร่ม และใช้เวลานอกอาคาร หรือรถยนต์ เฉพาะช่วงเช้า ก่อน 9 นาฬิกา และหลังจาก 15 นาฬิกา อาจไม่มีความจำเป็น เนื่องจากแสง UVB, UVA สามารถผ่านกระจกรถ ที่ติดฟิล์มกรองแสง ได้น้อยกว่า 5% และแสง UV ในช่วงเวลาเช้าตรู่ และเย็น มีปริมาณน้อย
โดยสรุป การป้องกันอันตราย ทั้งระยะสั้น และระยะยาว จากแสงแดด ควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยการให้ความรู้ ให้หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด ป้องกันร่างกายอย่างมิดชิด ด้วยเสื้อผ้า, แว่นตา, หมวก และร่ม เลือกยากันแดดที่เหมาะสม กับกิจกรรมแต่ละประเภท แต่สิ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอ ก็คือ การได้อยู่กลางแสงแดด จะทำให้ร่างกาย และจิตใจสดชื่น เนื่องจากมีการหลั่งของสาร Endorphin และร่างกายยังต้องการ วิตามินดี จากแสงแดด เพื่อกระดูกแข็งแรง โดยเฉพาะในวัยเด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากปริมาณวิตามินดี จากอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้น ควรได้รับแสงแดด อย่างสม่ำเสมอ ครั้งละ 15-30 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ในเวลาเช้า หรือบ่ายที่แสงแดดปานกลาง
พญ.ณัฎฐา รัชตะนาวิน
1. รู้จักครีมกันแดด และ SPF
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายของแสงแดด ในปัจจุบัน แพร่หลายมาก สามารถหาได้จากสื่อนานาชนิด และวิธีป้องกันแดดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ยากันแดด
ยากันแดด เริ่มมาจากชนผิวขาว ซึ่งมักนิยมการอาบแดด เพื่อให้มีผิวสีแทน (tan) เพราะถือเป็นสัญลักษณ์ ของสุขภาพที่ดี และฐานะร่ำรวย แต่มีปัญหาผิวไหม้แดง และมะเร็งผิวหนัง ทำให้มีการคิดค้นยากันแดด เพื่อให้ป้องกันผิวไหม้แดง แต่ยังคงความสามารถในการเกิดผิวสีแทน (tan) ดังนั้น การวัดประสิทธิภาพของยากันแดด ในระยะแรก ก็จะเน้นที่ความสามารถในการป้องกันผิวไหม้แดง นั่นคือ สามารถดูดซับแสง UVB ได้ดี หรือคือค่า SPF (sun protective factor)
ค่า SPF 15 มีความหมายว่า ในกรณีที่ท่านทายากันแดดอย่างทั่วถึง ในความหนา 2 มิลลิกรัมต่อพื้นที่ผิวหนังหนึ่งตารางซม. ท่านจะต้องใช้เวลาตากแดดเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่า จึงจะทำให้ผิวไหม้แดง ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์จริง ถ้าอยู่กลางแสงแดดจัด เวลาเที่ยง บริเวณชายทะเล ในเวลาประมาณ 15 นาที จะทำให้ผิวหนังแดงได้ การใช้ยากันแดด SPF 15 อย่างทั่วถึง จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น 15 เท่า จึงจะเกิดผิวไหม้แดง นั่นคือ เท่ากับ 15x15 คือ 225 นาที หรือ 3 ชม. 45 นาที แต่เนื่องจาก ในการทดสอบยากันแดด จะทำในห้องทดลอง โดยใช้หลอดไฟเลียนแสงอาทิตย์ ซึ่งมีการควบคุมอุณหภูมิ, ความชื้น, การเคลื่อนไหวของผู้ทำการทดสอบ ทำให้ค่าที่ทดสอบได้ มักจะสูงกว่าการใช้จริง ดังนั้น ในความเป็นจริง อาจจะเป็นเวลาประมาณ 2/3 ของเวลาที่ทดสอบ คือประมาณ 2 ชม. เป็นต้น
สำหรับข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ แม้ยาทากันแดด SPF>15 จะป้องกันผิวไหม้แดงได้ดี แต่ยังพบความคล้ำของผิวหนัง ได้เช่นเดิม เนื่องจากความคล้ำ หรือการเกิด tanning นั้น แสงที่มีบทบาทสำคัญ คือ แสง UVA แต่เนื่องจาก UVA ไม่ได้มีบทบาทที่สำคัญ ในการทำให้เกิดผิวไหม้แดง จึงไม่ได้รับความสนใจในระยะแรก ในปัจจุบันเริ่มมีข้อมูลว่า UVA นอกจากทำให้ผิวคล้ำแล้ว ยังสามารถทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง และทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจน และอีลาสติก ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งจะสังเกตเห็นได้มาก ในบริเวณที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ หรือคนที่ทำงานกลางแจ้ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนผิวไหม้แดง ซึ่งเกิดภายใน 24 ชม.หลังได้รับแสงแดด แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทีละเล็กน้อย อย่างช้าๆ และเห็นได้หลังจากถูกแสงแดดนับสิบปี
ยากันแดดในปัจจุบัน จึงได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันแสง UVA เพิ่มขึ้นด้วย แต่การวัดประสิทธิภาพ ของการป้องกันแสง UVA ยังไม่มีมาตรฐานสากล เหมือนค่า SPF สำหรับยากันแดดที่มีฉลากว่า กันได้ทั้ง UVA, UVB นั้น ในต่างประเทศ ได้มีผู้นำมาทดสอบ พบว่า ความสามารถในการป้องกัน UVA ต่างกันมาก และไม่สัมพันธ์กับค่า SPFที่สูงขึ้น เช่น ยากันแดดที่มีค่า SPF 45 ไม่สามารถกัน UVA ได้ดีกว่ายากันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นต้น ทำให้มีปัญหากับผู้บริโภค ในการเลือกใช้อย่างเหมาะสม
สารกันแดดที่มีฤทธิ์ป้องกัน UVA ได้ดี ในปัจจุบัน ได้แก่ Oxybenzone, Parsol 1789, TiO2, ZnO, Mexoryl SX, XL, Tinosorb M,S เป็นต้น ซึ่งยากันแดดในท้องตลาด ที่มีประสิทธิภาพกัน UVA ได้ดี น่าจะมีสารที่กล่าวแล้วข้างต้น ผสมกันอย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไป ในความเข้มข้น 2-3%
2.เลือกใช้อย่างไร? ใครจำเป็นต้องใช้?
สำหรับคนเอเชีย เช่น คนไทย ซึ่งไม่นิยมผิวคล้ำ และการอาบแดด การป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ในช่วงเวลา 9.00-15.00 น., สวมเสื้อผ้าปกคลุมมิดชิด, แว่นกันแดด, หมวกปีกกว้าง, หรือกางร่มเสมอ แต่ในกรณีที่ทำงาน หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง, เด็ก หรือการท่องเที่ยวทางน้ำ มีความจำเป็นต้องใช้ยากันแดด ควรเลือกดังนี้
ที่มีค่า SPF สูงกว่า 15
มีสารเคมีที่กัน UVA ได้ดีอย่างน้อย 2 ชนิด เช่น Oxybenzone + TiO2 หรือ Parsol 1789 + ZnO เป็นต้น
กันน้ำได้ ( water resistance, หรือ water proof)
และมีการทดลองว่า ไม่สลายจากแสง (photo stable)
ควรทายากันแดดให้หนาเพียงพอ 15 นาที ก่อนอยู่กลางแดด และอาจทาซ้ำทุก 15 นาที หลังจากทาครั้งแรก หรือทุก 1-2 ชม. ถ้าว่ายน้ำ หรืออยู่กลางแดดจัด เนื่องจากการทายากันแดดซ้ำ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการกันแดด ได้อีก 2-3 เท่า เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ มักทายากันแดดในปริมาณน้อยกว่าที่ควร
สำหรับการใช้ยากันแดด ประจำวัน ในผู้ที่ทำงานในร่ม และใช้เวลานอกอาคาร หรือรถยนต์ เฉพาะช่วงเช้า ก่อน 9 นาฬิกา และหลังจาก 15 นาฬิกา อาจไม่มีความจำเป็น เนื่องจากแสง UVB, UVA สามารถผ่านกระจกรถ ที่ติดฟิล์มกรองแสง ได้น้อยกว่า 5% และแสง UV ในช่วงเวลาเช้าตรู่ และเย็น มีปริมาณน้อย
โดยสรุป การป้องกันอันตราย ทั้งระยะสั้น และระยะยาว จากแสงแดด ควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยการให้ความรู้ ให้หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด ป้องกันร่างกายอย่างมิดชิด ด้วยเสื้อผ้า, แว่นตา, หมวก และร่ม เลือกยากันแดดที่เหมาะสม กับกิจกรรมแต่ละประเภท แต่สิ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอ ก็คือ การได้อยู่กลางแสงแดด จะทำให้ร่างกาย และจิตใจสดชื่น เนื่องจากมีการหลั่งของสาร Endorphin และร่างกายยังต้องการ วิตามินดี จากแสงแดด เพื่อกระดูกแข็งแรง โดยเฉพาะในวัยเด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากปริมาณวิตามินดี จากอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้น ควรได้รับแสงแดด อย่างสม่ำเสมอ ครั้งละ 15-30 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ในเวลาเช้า หรือบ่ายที่แสงแดดปานกลาง