รู้จักการคุมกำเนิดดีหรือยัง


เห็นพูดกันเยอะเรื่องการคุมกำเนิด แต่ถามหน่อยเถอะ จะมีใครที่รู้จักเรื่องนี้ดีจริงๆถ้าไม่รู้  ก็ต้องศึกษาให้รู้ เพราะจะได้ไม่ก้าวไปสู่ปัญหาท้องไม่ตั้งใจ
ว่าไปแล้ว 
วิธีการคุมกำเนิดจริงๆ มีอยู่ 3 ประเภท คือ
1. วิธีธรรมชาติ
2. วิธีขวางกั้น
3. ใช้ฮอร์โมน

ฟังดูงงๆ  แต่ไม่ยากที่จะเข้าใจหรอก

1. วิธีธรรมชาติ
วิธีธรรมชาติ
ที่เขาพูดกันน่ะ เป็นวิธีแบบว่าไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมาก แค่บังคับร่างกายให้ดี อย่าง การหลั่งข้างนอก ก็เป็นวิธีหนึ่ง

แต่วิธีนี้ต้องอาศัยฝ่ายชายล้วนๆ  คือที่รักของเราจะต้องถอนอวัยวะของเขาให้ออกมาหลั่งข้างนอกช่องคลอดเมื่อกำลังจะถึงจุดสุดยอด ขณะที่เราทั้งคู่กำลังมีเซ็กซ์กัน วิธีนี้จะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดเพียงแค่ 70% จึงมีข้อเสียตรงที่ยังมีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ในระดับที่สูงอยู่

เสี่ยงยังไงนะหรือ ก็ตรงที่ฝ่ายชายต้องใช้การควบคุมอารมณ์อย่างมากนะสิ ดังนั้นก่อนหน้าที่จะมีการหลั่งอาจมีตัวอสุจิปนมากับน้ำหล่อลื่นและหลุดเข้าไปผสมกับไข่ได้ทุกเมื่อ นั่นแหละอันตรายสุดๆ

วิธีต่อมาต้องอาศัยฝ่ายหญิง  นั่นคือ การนับยอดฮิต ที่เขาเรียกกันว่า “หน้า 7 หลัง 7”
ส่วนใหญ่คิดว่าเข้าใจดี แต่หลายคนก็เข้าใจผิดมานักต่อนัก และพลาดพลั้งตั้งครรภ์จากการนับผิดนี่แหละ
การนับที่ว่าก็คือการนับรอบเดือน โดยจะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมา จนถึงวันก่อนมีประจำเดือนครั้งต่อไป (รอบเดือนโดยเฉลี่ยคือ 28 วัน) ซึ่งวิธีนี้เราต้องหัดสังเกตรอบเดือนของตนเองและจดบันทึกทุกเดือน ถ้าสม่ำเสมอก็จะใช้ได้ผล แต่ถ้าประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอก็จะมีความเสี่ยงการตั้งครรภ์สูง

แต่ถ้าคิดว่ารอบเดือนมาสม่ำเสมอ คราวนี้ก็ต้องทำความเข้าใจกับวิธีนับ ที่เขาว่า นับหน้า 7 ความหมายก็คือให้นับล่วงหน้า 7 วัน ก่อนวันที่คาดว่าประจำเดือนจะมา ส่วนนับหลัง 7 ให้นับตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาเป็นวันที่หนึ่ง และนับต่อไปอีก 6 วัน จะรวมเป็น 7 วันพอดี

ขอบอกว่า การนับหลัง 7 นี่แหละที่ทำให้คนพลาดมาเยอะ เพราะดั๊นไปเข้าใจผิดว่า นับจากวันสุดท้ายของการมีประจำเดือน!!!
สำคัญคือ ต้องนับให้ถูก ถ้านับถูกต้องนะ วิธีนี้จะมีประสิทธิภาพแค่ 75%
แถมยังมีข้อเสียอยู่ตรงที่  ต้องมีวินัยในตนเองสูงเนื่องจากต้องคอยนับและจดบันทึกรอบเดือนในแต่ละเดือน

2. วิธีขวางกั้น
นอกจากวิธีธรรมชาติแล้ว การคุมกำเนิดยังมีอีกวิธีคือ วิธีขวางกั้นเป็นการขวางกั้นด้วยถุงยางอนามัยไงล่ะ นับเป็นวิธีที่ถือว่าปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และการตั้งครรภ์ เนื่องจากถุงยางอนามัยจะป้องกันไม่ให้อสุจิหลุดเข้าไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิง

แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ฝ่ายชายโดยเฉพาะวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยใส่ถุงยางอนามัยไม่ถูกต้อง วิธีการใส่ที่ถูกก็คือต้องบีบปลายถุงยางไล่อาการก่อน จากนั้นจึงสวมแล้วรูดให้สุดโคน เมื่อผู้ชายหลั่งน้ำอสุจิเสร็จแล้ว ต้องรีบดึงถุงยางออก โดยระวังไม่ให้น้ำอสุจิเลอะเทอะออกมาภายนอก อย่าคิดประหยัดนำมาใช้ซ้ำล่ะ เขาห้ามเด็ดขาด แถมยังห้ามใช้ร่วมกับน้ำหล่อลื่น ต้องใช้กับสารที่ออกแบบมาให้ใช้กับถุงยางอนามัยโดยเฉพาะ แถมยังห้ามใช้กับสารหล่อลื่นประเภทน้ำมันด้วย เพราะจะทำให้ถุงยางฉีกขาดเลยนะ

วิธีนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกัน 98% แต่ก็มีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่ เจ้าถุงยางอนามัยนี้อาจฉีกขาด หรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ ถ้าเกิดหลุดหรือฉีกขาดก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะทางแก้ยังมีนั่นคือ ต้องรีบรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ให้เร็วที่สุด

3. การใช้ฮอร์โมน
นอกจากการป้องกันโดยวิธีธรรมชาติ และวิธีขวางกั้นแล้ว อีกวิธีที่ป็อบปูล่ามากๆ ก็คือ  การใช้ฮอร์โมน มีหลายแบบด้วยนะ ทั้งแบบการรับประทาน ,ยาฉีด,แผ่นแปะ ,ห่วงคุมกำเนิดหรือห่วงอนามัย IUDs และยาคุมฉุกเฉิน

ที่ฮอตสุดๆ ก็คือ การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งมีประสิทธิภาพถึง 99.7% !!!

ในปัจจุบันมียาเม็ดคุมกำเนิดหลากหลาย แล้วจะเลือกอย่างไร อันนี้ต้องรู้นะ ...
จากข้อมูลแล้วว่ากันว่า ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานนั้นมีสองประเภท คือ ชนิดฮอร์โมนรวม และชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจน  อย่างเดียว

ต่างกันอย่างไรนะหรือ?  จำง่ายๆ ก็แล้วกันว่า ชนิดฮอร์โมนรวม ก็คือ ยาคุมกำเนิดที่มีทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน  ซึ่งมีทั้งแบบฮอร์โมนคงที่ และฮอร์โมนแตกต่างกันในแต่ละเม็ด 1 แผง จะมี 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด (21 เม็ดเป็นฮอร์โมน อีก 7 เม็ดเป็นแป้งรับประทานทุกวันเพื่อกันลืม)

ข้อดีของยาคุมกำเนิดนอกจากป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว  ยังมีคุณประโยชน์อื่นๆ ตามมาด้วย เช่น ช่วยรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ  ลดอาการปวดประจำเดือน ใช้เลื่อนประจำเดือน ไปจนถึงลดภาวะโลหิตจาง

บางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมนเพศชาย  ยังมีข้อดีในแง่ความสวยงามนั่นคือ ช่วยลดการเกิดสิว ผิวหน้ามัน และใครที่มีปัญหาขนขึ้นดกตามตัวอันเกิดจากการทำงานผิดปกติของรังไข่

ขณะที่ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีโปรเจสโตเจนอย่างเดียว จะเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในระยะให้นมบุตร หรือผู้ที่ถูกห้ามไม่ให้ใช้ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น ผู้ที่เป็นโรคปวดศรีษะไมเกรน  หรือมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดดำอุดตัน  และภาวะแข็งตัวของเลือดผิดปกติ 

แต่ข้อเสียของยาชนิดหลังสุดนี้ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำ และมักจะทำให้เกิดอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยร่วมด้วย

ยาเม็ดคุมกำเนิดสมัยใหม่ ไม่สิว ไม่อ้วน

  • กินยาคุมแล้วกลัวอ้วน อันนี้ขอบอกว่า ยาคุมไม่มีผลกับน้ำหนักตัว แต่ที่บางคนรู้สึกว่าดูตัวบวมๆ นั้น มีเหตุผลที่เขาอธิบายว่า เป็นเพราะเกิดอาการบวมน้ำ อันนี้เกิดจากร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากไป เราสามารถเลือกได้เหมือนกัน โดยต้องเลือกยาคุมที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสโตเจนบางตัวที่จะต้านอาการคั่งของน้ำ หรือจะเลือกตัวที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจนในสัดส่วนที่ต่ำก็ได้
  • ถ้าจะกินยาคุมเพื่อแก้ปัญหาหน้ามัน สิว และขนดก ร่วมไปกับการคุมกำเนิดก็สามารถนะ แต่ต้องเลือกยาคุมที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนต้านฮอร์โมนเพศชายจึงทำให้อาการพวกนี้ลดลงได้
  • ตั้งใจกินยาคุมเพื่อแก้ปัญหาช่วงนั้นของเดือน แบบว่า มีคนพูดกันเยอะว่า การกินยาคุมกำเนิดช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ ซึ่งมีผู้หญิงเป็นกันเยอะ นั่นก็เป็นเรื่องจริง แต่ถ้าอยากลดอาการไม่พึงประสงค์ก่อนมีรอบเดือน (PMS) อาทิ หงุดหงิด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวนง่าย ความอยากอาหารผิดปกติ เจ็บคัดตึงหน้าอก ท้องอืด มือเท้าบวม ฯลฯ เขาให้เลือกยาคุมประเภทที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนรุ่นใหม่ที่มีส่วนผสมของโปรเจสโตเจนรุ่นใหม่ที่ใกล้เคียงกับฮอร์โมนในร่างกาย ก็จะช่วยลดปัญหาได้

โปรดอย่าลืม : บางคนอาจงงกับการเลือกยาคุม ทางที่ดีที่สุดนะ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรว่ายาแต่ละชนิดมีส่วนผสมของอะไร และให้ผลตามที่ต้องการได้หรือเปล่า เพราะไม่ใช่ทุกแบบจะเหมาะกับทุกคน ต้องดูสุขภาพของเราด้วย ควรขอคำแนะนำในเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้องพ่วงไปด้วยซะเลยนะ จะได้ผลตามที่ตั้งใจ หรือจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีชื่อเสียงมายาวนานก็จะมั่นใจได้อีกระดับหนึ่ง

เป็นโรคอะไรบ้างที่ต้องใช้ยาคุมอย่างระวัง และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้!

  • โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ
  • ความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรง
  • ระบบไขมันในร่างกายผิดปกติ
  • โรคที่เกี่ยวกับระบบการแข็งตัวของเลือด
  • โรคตับอักเสบเฉียบพลัน
  • โรคถุงน้ำดี
  • มะเร็งที่มีการเจริญเติบโตขึ้นกับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • เลือดออกผิดปกตากโพรงมดลูก โดยยังไม่ทราบสาเหตุ
  • โรคลมชัก
  • โรคไมเกรน
  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  • ในผู้สูบบุหรี่ก็ควรต้องปรึกษาแพทย์
  • ห้ามใช้ยาขณะตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าจะตั้งครรภ์ ดังนั้นในรายที่ประจำเดือนไม่มา ควรไปตรวจให้          แน่ใจก่อนที่จะเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
  • ในผู้ที่น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานก็เป็นอีกกลุ่มที่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาคุม

นอกจากนี้ยาคุมกำเนิดยังมียาฉีดคุมกำเนิดด้วยนะ วิธีนี้มีประสิทธิภาพสูงถึง 99.95%
เป็นการฉีดสารสังเคราะห์ที่ได้มาจากฮอร์โมนโปรเจสโตเจน ที่ต้องฉีดทุกๆ 3 เดือน เป็นรอบแบบนี้เพราะทำให้ยับยั้งการตั้งครรภ์โดยเจ้าสารที่ว่าจะเข้าไปบล็อกการทำงานของรังไข่ และหยุดการเคลื่อนไหวของสเปิร์มเอาไว้ แถมยังก่อกวนการฝังตัวของไข่ที่ผนังมดลูกในกรณีเกิดการปฏิสนธิกันไปแล้วด้วย

วิธีนี้ข้อดีคือ มีประสิทธิภาพสูง โดยไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับการรับประทานยาทุกวัน
แต่ข้อเสียคือ ประจำเดือนอาจมาไม่ปกตินะ อาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอย เพราะฮอร์โมนจะไปสู้รบการทำงานของประจำเดือน  ว่ากันว่าบางรายอาจน้ำหนักขึ้น ปวดศรีษะ กระวนกระวาย ซึมเศร้า  หากใช้นานเกินกว่า 3 ปีขึ้นไป อาจทำให้กระดูกผุได้ และหากจะคิดกลับลำอยากมีบุตรซะงั้น อาจต้องใช้เวลานานถึง 1 ปีหลังจากเลิกฉีดยาเชียวนะ ถึงจะมีบุตรได้

แผ่นแปะคุมกำเนิด ก็เป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพ 99.7 %
แบบนี้สามารถใช้แปะที่ สะโพก หน้าท้อง ต้นแขน แผ่นหลังช่วงบน ห้ามแปะบริเวณหน้าอกนะ  เมื่อแปะแผ่นยาแล้วตัวยาจะค่อยๆ ซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือด 

สำคัญกว่าการใช้ง่ายก็คือ ต้องรู้จักวิธีใช้ด้วย  เพราะจะว่าไปวิธีนี้ไม่ยาก แต่ต้องมีเทคนิคเหมือนกัน นั่นคือ ต้องแปะแผ่นคุมกำเนิดในวันแรกที่รอบเดือนมา แปะเอาไว้ 1 สัปดาห์โดยไม่ต้องเอาออก (1 แผ่นต่อ 1สัปดาห์)

เมื่อครบสัปดาห์แล้ว เปลี่ยนแผ่นแปะอันใหม่ในบริเวณเดิมไปอีก 1 สัปดาห์ พอขึ้นสัปดาห์ที่ 3 ก็ทำเช่นเดิมอีก แต่พอสัปดาห์ที่ 4 ให้หยุดแปะไป 7 วัน และช่วงนี้แหละจะเป็นช่วงที่รอบเดือนมา พอครบ 7 วันแล้วจึงเริ่มแปะแผ่นที่ 1 ของเดือนต่อไป

สรุปแล้ว 1 เดือนเราต้องแปะแผ่นคุมกำเนิด 3 แผ่นในเวลา 3 สัปดาห์ ใช้ง่ายแต่จำเยอะหน่อย
แต่วิธีนี้อาจมีข้อเสียตรงที่ มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากแผ่นแปะมีราคาค่อนข้างสูง แถมยังมองดูเหมือนส่วนเกินบนร่างกาย คนผิวแพ้ง่ายอาจจะเกิดการระคายเคือง และวิธีนี้อาจเกิดหลอดเลือดดำอุดตันมากกว่าวิธีอื่น

ห่วงคุมกำเนิดหรือห่วงอนามัย IUDs แบบนี้จะมีลักษณะเหมือนตัว T ต้องให้แพทย์ใส่ในขณะมีประจำเดือน โดยจะใส่ห่วงคุมกำเนิดในมดลูกเพื่อป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน เหมาะกับการคุมกำเนิดในระยะยาว ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 99.9%

วิธีนี้จะมีห่วงหน่อยก็ตรงที่ต้องตรวจด้วยตนเองทุกเดือนว่าห่วงคุมกำเนิดยังอยู่หรือไม่ เพราะเจ้าห่วงนี้มันสามารถหลุดเองได้ และอาจเกิดอันตรายด้วยนะหากไม่ปรึกษาคุณหมอ

ข้อดีของห่วงคุมกำเนิด เขาว่า เป็นวิธีที่ได้ผลดี ไม่จำเป็นต้องจำวันฉีดยาหรือการกินยาให้ปวดเศียรเวียนเกล้า แถมผลข้างเคียงยังต่ำอีก
ส่วนข้อเสีย  ต้องทำใจกับอาการเลือดออกกะปริดกะปรอย หรือประจำเดือนมามาก วิธีนี้จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ยังไม่เคยมีบุตรไงล่ะ

http://www.mylovemycontrol.com/c1.htm


Tag :




แสดงความคิดเห็น






Insurance


Advertisement