5.ตัวช่วยอีกอย่างหนึ่ง คือ หาเพลงเบาๆเย็นๆ เปิดฟังก่อนนอน หรือหาแผ่นซีดีเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงน้ำตก เสียงคลื่นทะเล เสียงฝนตกซ่าๆ เป็นต้น การฟังเสียงเหล่านี้จะช่วยให้ใจสงบ เหยือกเย็น หลับได้ง่ายขึ้น ถ้าชอบสวดมนต์ยิ่งดีค่ะ สาวยาวๆ เบาๆ จะหลับสบายดียิ่งนัก

6.ตอนกลางวันเวลาทำงานรู้สึกเพลียและง่วงลืมตาไม่ขึ้น หาที่เงียบๆนั่งพัก หรือนอนงีบเล็กๆสัก 15 นาที ก่อนจะงีบบอกตัวเองว่า เราจะพักผ่อนให้กายสบายใจสงบ และไม่ต้องการนอนหลับยาว ต้องการพักเพียง 15 นาทีเท่านั้น

ได้มีการทดลองและทดสอบการงีบสั้นๆในที่ทำงาน ช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานดีขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า (รายงานจากรีดเดอร์ไดเจสท์ แอสโซซิเอชั่น 1982)

7.ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึก นอนต่อก็ไม่หลับ อย่าปล่อยให้ตัวเองนอนลืมตาอย่างนั้นเกินครึ่งชั่วโมง ให้ลุกขึ้นทำงานเล็กๆในบ้านสักพัก พอรู้สึกง่วงก็รีบไปนอน จะได้หลับสบาย

8. จากการทดลองเกี่ยวกับการนอนในห้องแล็บ การนอนหลับจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน
     ขั้นตอนแรก จะเป็นการนอนหลับแบบเคลิ้มๆ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
     ขั้นตอนที่2 และ 3 จะเกิดการหายใจลึกๆยาวๆ หัวใจเต้นช้าลง อุณหภูมิของร่างกายลดลง
     ขั้นตอนที่ 4 จะหลับสนิท ในระหว่างขั้นตอนที่ 4 นี้ บางคนจะฝัน เกิดอาการย้อนกลับไปที่ขั้นตอนที่ 2 คือ หายใจลึก ถ้าฝันจะเกิดอาการที่เรียกว่า REM(Rapid Eyemovement) ถ้ามีอะไรมารบกวนตอนนี้จะตื่นง่าย ถ้าเป็นบ่อยๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะเป็นโรคนอนไม่หลับ

ฉะนั้น ให้ระวังสภาพการนอนระหว่างขั้นที่ 3 และ 4 ให้มากๆ โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมในห้องนอน เช่น ร้อนเกินไป ที่นอนแข็งเกินไป ฝุ่นมากไป หรือก่อนนอนมีเรื่องคิดมาก เครียด หรือมิฉะนั้นก็กินอาหารมากเกินไปก่อนนอน เหล่านี้เป็นต้น

ลองแก้ปัญหาจากปัจจัยต่างๆเหล่านี้ แล้วคุณจะนอนหลับได้สบาย แต่ถ้าคุณมีโรคประจำตัวนอนเหนือไปจากปัจจัยรบกวนเหล่านี้ก็ต้องปรึกษาแพทย์นะคะ ขอให้นอนหลับฝันดีทุกคืน กันทุกคนค่ะ




ขอบคุณ ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์ปั้นชีวิตใหม่ด้วนชีวจิต โดย ดร.สาทิส อิทรกำแหง