ฝึกควาบคุมขนาดกระเพาะอาหาร อีกหนึ่งวิธีลดความอ้วนอย่างได้ผล



เอ่ยถึง "ความอ้วน" คงไม่มีใครอยากให้คำ ๆ นี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่เมื่อความอ้วนคุกคามจนยากเกินกว่าจะควบคุมได้ หลาย ๆ คนมักแสวงหาสารพันวิธีมากำจัดเจ้าน้ำหนักส่วนเกินนี้ออกไป ซึ่งในแต่ละวิธีนั้น อาจได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง หรืออาจส่งผลกระทบต่าง ๆ ตามมาบ้าง เรามีอีกหนึ่งทางเลือกในการลดความอ้วนด้วยการฝึกควบคุมปริมาตรกระเพาะอาหารมาฝากให้พิจารณากัน
      
       เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.สุรชัย รุ่งธนาภิรมย์ อายุรแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคอ้วนเกิดจากการผสมผสานของกรรมพันธุ์ สภาพแวดล้อม และพฤติกรรม รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ที่ทำให้คนเราใช้พลังงานน้อยลง และเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่รับประทานไปใช้ไม่หมด ส่งผลให้เหลือไปสะสมเพิ่มน้ำหนักตัวให้มากขึ้นได้ โดยหลักทั่วไป ถ้ารับประทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการก็จะมีส่วนเกินสะสมทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการให้น้ำหนักไม่เพิ่มมากขึ้นก็ควรออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานให้มากขึ้น และควรควบคุมปริมาณแคลอรีในอาหาร โดยเน้นรับประทานอาหารที่มีแคลอรีน้อยลง เช่น พืช ผัก รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการทอด การควบคุมน้ำหนัก      


       ส่วนอีกวิธีหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน คือ การฝึกควบคุมปริมาตรของกระเพาะอาหาร จากผลการศึกษาพบว่า กระเพาะอาหารของคนอ้วนมีความจุมากกว่าคนที่ไม่อ้วน และเมื่อพยายามควบคุมอาหาร เพื่อลดน้ำหนักตัวได้ระยะหนึ่ง ความจุของกระเพาะอาหารมักจะลดลงตามไปด้วย มีผู้พยายามศึกษา ความจุกระเพาะอาหารของมนุษย์ โดยใช้วิธีต่างๆ มากมาย ตั้งแต่วิธีการสมัยก่อนที่วัดปริมาณอาหารเหลว ที่ให้กลืนจนอิ่มท้อง จนถึงวิธีทันสมัยโดยใช้การตรวจคล้ายเอกซเรย์ ทำให้สามารถคำนวณปริมาตร ของกระเพาะอาหารได้ ซึ่งจากการศึกษาต่างๆ เหล่านี้พบว่า ความจุของกระเพาะอาหารของมนุษย์มีค่าแตกต่างกัน ตั้งแต่ 800 ซีซี ไปจนถึงประมาณ 4,000 ซีซี หรือตั้งแต่ประมาณ 1 ลิตรถึง 4 ลิตร
      
       "เราสามารถประมาณปริมาตรอาหารที่เรารับประทานต่อครั้งได้ง่าย ๆ เช่น น้ำดื่ม 1 แก้ว ปกติจะมีความจุประมาณ 250 ซีซี นมยูเอชที 1 กล่องสำหรับผู้ใหญ่จะมีความจุประมาณ 240 ซีซี น้ำดื่มขวดเล็กมีปริมาตรประมาณ 500-600 ซีซี เป็นต้น ผู้ใหญ่หนึ่งคนต้องการพลังงานจากอาหารประมาณ 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน และถ้ามีส่วนเกินสะสมถึง 7,000 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม ถ้ารับประทานอาหารจนอิ่มตื้อเต็มกระเพาะโดยดูจากปริมาตรของกระเพาะอาหารข้างต้นก็จะมีโอกาสที่จะมีพลังงานเกินความต้องการสะสมไปเรื่อย ๆ จนน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก ลองนึกภาพจากอาหารทางการแพทย์ที่มีลักษณะคล้ายนม ถ้าผสมแบบปกติจะให้พลังงาน 1 กิโลแคลอรีต่อ1 ซีซี ถ้าได้มื้อละประมาณ 2 แก้ว หรือประมาณ 500 ซีซี วันละ 4 มื้อ ก็จะได้พลังงานถึง 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน"
      
       "แต่ในชีวิตจริงอาหารหลายอย่างให้ค่าพลังงานมากกว่าอาหารที่เป็นของเหลวดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารที่ผ่านการทอด ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่ไม่ใช่ของเหลวในปริมาณที่น้อยลง นอกจากนี้ในบางคนกินอาหารซึ่งแม้จะเป็นพืชผักที่มีพลังงานน้อยหรือน้ำเปล่าหลาย ๆ แก้ว ซึ่งไม่มีพลังงานเลยก็ตาม จนอิ่มแน่นกระเพาะ กลับทำให้กระเพาะอาหารปรับตัว สร้างน้ำย่อยตามออกมามากขึ้น ทำให้หิวง่ายในตอนค่ำหรือวันต่อมา ทางที่ดี ไม่ควรกินอาหารอิ่มแน่นจนกระเพาะอาหารขยายมากเกินไป" อายุรแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพเผย
 

 
       คุณหมออธิบายต่อไปว่า เมื่อเริ่มรับประทานอาหารจะทำให้เกิดความอิ่มใน "ช่วงต้น" ซึ่งความอิ่มช่วงนี้เป็นผลมาจากการรับรู้ของบริเวณทางเดินอาหารเมื่อมีอาหารเข้ามาอยู่ภายใน รวมถึงความ "ตึง" ของกระเพาะอาหาร สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นฮอร์โมนส่งสัญญาณไปยังศูนย์หิว-อิ่มที่อยู่ภายในสมอง ส่วนความอิ่ม "ช่วงหลัง" เกิดขึ้นหลังจากที่สมองได้รับสัญญาณจากทางเดินอาหาร และจากสิ่งกระตุ้นภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มองเห็น กลิ่นที่ได้รับ และบรรยากาศรอบตัว ทำให้เกิดความอยาก หรือไม่อยากอาหารในมื้อนั้นอีกต่อไป ซึ่งสัญญาณความอิ่มที่ระดับทางเดินอาหารก็ดี หรือที่ระดับสมองก็ดี ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง กว่าจะส่งสัญญาณเชื่อมถึงกัน
      
       ด้วยกลไกตามธรรมชาติของร่างกายข้างต้น จึงเป็นที่มาของการฝึกควบคุมปริมาตรกระเพาะอาหาร เพื่อให้กินได้น้อยลงแต่รู้สึกอิ่ม ซึ่งบางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็เคยเกิดขึ้นกับเราๆ ท่านๆ แล้วโดยไม่รู้ตัว เช่น ขณะเริ่มรับประทานอาหารแล้วเผอิญมีโทรศัพท์ดังขึ้น หรือมีแขกมาหาคุยธุระอยู่นานหลายสิบนาที พอพูดคุยเสร็จธุระ เราก็อาจไม่รู้สึกหิว หรืออาจไม่รู้สึกว่าต้องกินอาหารต่อก็เป็นได้ เนื่องจากในระหว่างที่เราพูดคุยธุระอยู่นั้น สัญญาณจากทางเดินอาหารได้เชื่อมโยงกับศูนย์หิว-อิ่มในสมองเรียบร้อยแล้ว ทำให้รู้สึกอิ่มโดยกินอาหารเข้าไปเพียงนิดเดียว หรือตัวอย่างในเด็กบางคน กินขนมเพียงซองเล็กๆ ซึ่งไม่น่าจะอิ่มท้องเลย แต่พอถึงมื้ออาหารจริงอาจจะโยเยไม่หิว ไม่อยากกินอาหารมื้อหลัก จนพ่อแม่มักได้รับคำแนะนำจากแพทย์ว่า พยายามอย่าให้เด็กกินขนมก่อนใกล้เวลามื้ออาหาร อย่างน้อยครึ่ง หรือหนึ่งชั่วโมง เป็นต้น   

       นอกจากนี้ การเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียด นอกจากจะช่วยทำให้กระเพาะอาหาร ทำงานน้อยลงแล้ว การเคี้ยวอาหารช้าๆ จะทำให้รับประทานอาหารได้ในปริมาณน้อยลง และทางเดินอาหารมีเวลาที่จะส่งสัญญาณไปที่สมอง ทำให้รู้สึกอิ่ม และไม่รู้สึกว่าต้องกินอาหารต่อได้เช่นกัน ผู้ป่วยหลายรายที่ฝึกรับประทานอาหารโดยใช้เวลาเคี้ยวอาหารให้นานขึ้น ร่วมกับการลดปริมาณอาหารต่อมื้อ เพื่อฝึกกระเพาะอาหารให้มีปริมาตรลดลง และช่วยลดการสร้างน้ำย่อยซึ่งกระตุ้นให้อยากอาหารน้อยลง ผู้ป่วยเหล่านี้มักเล่าให้แพทย์ฟังว่า หลังจากการฝึกเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ประมาณ 2 สัปดาห์ จะรู้สึกชินกับการรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ ไม่รับประทานดุเดือดเท่าแต่ก่อน และทำให้น้ำหนักลดลงได้ถึง 3 กิโลกรัมต่อเดือน แถมยังมีความสุขที่ยังคงรับประทานอาหารหลายอย่างที่ชอบได้ (แต่จะไม่กินจนอิ่ม เพราะต้องการควบคุมปริมาตรของกระเพาะอาหารไว้ไม่ให้ขยายมากเกินไป)
      
       แม้ว่าการฝึกควบคุมปริมาตรของกระเพาะอาหารอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหาร หรือการผ่าตัดใส่บอลลูนเข้าไป ภายในกระเพาะเพื่อขัดขวางพื้นที่ของกระเพาะไม่ให้บรรจุอาหารได้มากดังเดิม แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพึ่งมีดหมอในการทำผ่าตัด ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือ เราสามารถเลือกลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยความภาคภูมิใจในผลสำเร็จที่จะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเราเอง

ขอบคุณ ที่มา : life & family ; manageronline


Tag :




แสดงความคิดเห็น






Content-Seo


Advertisement