ทำบุญทำทานสวยชาติหน้า ทำนมทำหน้าสวยชาตินี้
ประโยคไม่ขำที่สะท้อนค่านิยมและความคิดของคนรุ่นใหม่ต่อเรื่องความสวยความงามในยุคปัจจุบันอย่างมาก
เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว จำได้ว่า มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่รักสวยรักงามไปทำจมูก แต่ไม่กล้าบอกเพื่อน เธอพยายามบ่ายเบี่ยงและเลี่ยงตอบคำถามเพื่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะหน้าตาก็ฟ้องชัดเจนว่าเธอได้ไปทำศัลยกรรมมา ซึ่งก็เป็นธรรมดาของผู้คนให้ยุคนั้นที่ยังไม่กล้ายอมรับอย่างโจ่งแจ้ง
ตรงกันข้ามกับผู้คนในปัจจุบันที่ไปทำศัลยกรรมกันแบบโจ๋งครึ่ม และยอมรับว่า ไปทำมาแบบไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป ทั้งยังกลายเป็นค่านิยมใหม่ที่ผู้คนสามารถเดินเข้าไปในคลินิกเสริมความงามกันแบบไม่เคอะเขิน จนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยไปเสียแล้ว
ความจริงเรื่องทำศัลยกรรมบริเวณใบหน้าก็เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ในวงการบันเทิง โดยเฉพาะบรรดาดารานางแบบนักแสดงทั้งหลายที่ต้องใช้ใบหน้าในการทำมาหากิน เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ค่านิยมการทำศัลยกรรมส่วนต่างๆ ของใบหน้าของผู้คนยุคนี้ ขยายไปสู่เด็กรุ่นใหม่ไปเสียแล้ว ที่น่าหวั่นใจมากเพิ่มไปอีกคือขยายไปสู่กลุ่มที่เด็กลงทุกขณะ บางคนพ่อแม่ก็เป็นผู้ส่งเสริมด้วยอีกต่างหาก..!!
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อมีส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้บรรดาหนุ่มสาวรุ่นใหม่อยากหล่ออยากสวยเหมือนดาราคนนั้นคนนี้ เพื่อหวังว่าจะดูดีขึ้น ยิ่งตอนนี้กระแสเกาหลีฟีเวอร์ ยิ่งทำให้บรรดาผู้ที่อยากจะมีใบหน้าละม้ายชาวเกาหลีต่างก็ต้องหันมาพึ่งมีดหมอเพื่อความอินเทรนด์ และกลายเป็นที่มาของเด็กวัยรุ่นจำนวนหนึ่งที่เสื้อผ้าหน้าผมละม้ายคล้ายกันไปหมด
การทำศัลยกรรมที่ผ่านมามีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ มีทั้งที่ปลอดภัย และมีปัญหา แต่ดูเหมือนก็ไม่กระทบธุรกิจประเภทนี้แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับขยายตัวอย่างรวดเร็วและมากมายจนน่าตกใจ จนทำให้มีคลินิกเถื่อนเกลื่อนเป็นดอกเห็ด และก็มีข่าวน่าหวาดเสียวออกมาเป็นระลอก
อย่างล่าสุด กรณีที่เกิดขึ้นกับสาวพริตตี้ที่ไปฉีดสารเสริมสะโพก จนกระทั่งเกิดอาการช็อกหมดสติ และมีแนวโน้มว่าจะเป็นเจ้าหญิงนิทรา ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่างของคนที่ได้รับผลกระทบจากการทำศัลยกรรม
ดิฉันจำได้ว่าเคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในอังกฤษเกี่ยวกับผู้หญิงที่ตอกย้ำว่าต้องขอสวยไว้ก่อน และพบว่า ผู้หญิงนับล้านคนจากทั่วโลกไม่มีความสุขกับน้ำหนักตัวของตัวเอง โดยพบผู้หญิง 1 ใน 3 ยอมอายุสั้นลง ขอเพียงหุ่นดีเทียบเท่านางแบบ ทั้งที่กลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมดมีน้ำหนักตัวระดับปกติหรือกระทั่งผอมเกินไป
งานวิจัยชิ้นนั้นต้องการสะท้อนว่า หญิงสาวส่วนใหญ่ไม่มั่นใจกับรูปลักษณ์ตัวเอง และเรื่องความสวยความงามก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้จริงๆ แม้จะต้องเสียเงินหรือเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม
ค่านิยมเรื่องหน้าตาดี รูปร่างดี กลายเป็นปัญหาใหญ่ของเด็กสาวในสมัยนี้ เพราะเห็นแบบอย่างในสังคม ที่ทุกกระแสต่างวิ่งเข้าสู่ค่านิยมนี้ ไม่ว่าจะเป็นถนนสายบันเทิงและธุรกิจจำนวนมาก ที่ใช้ผู้หญิงรูปร่างสวยหน้าตาดีเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นและยั่วยวนใจให้เด็กสาวรุ่นใหม่อยากดูดีเพราะมีรายได้ที่ดีรออยู่ข้างหน้า
และนั่นหมายถึง การสวย หรือหล่อทางลัด ด้วยการยอมที่จะเสียเงินเสียทองเพื่อทำศัลยกรรมให้ตัวเองดูดีในสายตาของคนอื่น แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายต่อตัวเองก็ยอม
ที่น่าตกใจ คือ ค่านิยมเหล่านี้ได้เข้าไปอยู่ในครอบครัวด้วย มีพ่อแม่จำนวนมากที่พยายามเสกสรรปั้นแต่งลูกสาวให้สวยงามดูดี หรือสร้างภาพลักษณ์ให้กับลูกตั้งแต่เด็ก สังเกตได้จากการจัดงานประกวดมากมาย ที่ส่งเสริมให้เด็กแต่งตัวเกินวัย และจับให้เด็กทำตัวแก่แดด แต่งหน้าแต่งตัวเกินเด็ก
ก่อนหน้านี้ ก็ถึงขนาดมีแม่ชาวสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง ออกมายอมรับว่า พยายามผลักดันลูกสาววัย 8 ขวบ ให้เป็นนางงาม หรือดารานางแบบในอนาคตให้ได้ จึงตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ให้กับลูกสาวด้วยตัวเองทุกๆ 3 เดือน ทั้งที่บริเวณหน้าผาก ตา และริมฝีปาก เพื่อหวังให้ลูกสาวคงความอ่อนเยาว์เอาไว้ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกหรือไม่
จริงอยู่ เรื่องนี้เป็นสิทธิเสรีภาพค่ะ ไม่มีใครว่าอะไรใครได้ เพียงแต่สิ่งที่จะชวนคิด ก็คือ ค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งเร้ารอบตัวที่ให้ความสำคัญในเรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นประเด็นสำคัญที่กำลังเกาะกินในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางกระแสต้องสวยหรือหล่อเท่านั้น ..!!
การส่งเสริมให้ลูกสวยหรือหล่อจากด้านในค่อยๆ ถูกลดทอนความสำคัญลงไปเรื่อยๆ
มาลองชวนพ่อแม่สำรวจตัวเองว่าเราเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วยหรือเปล่า วิธีการเลี้ยงดู การส่งเสริมให้ลูกมีความภาคภูมิใจในตัวเอง พอใจในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากที่พ่อแม่ควรปลูกฝังตั้งแต่เล็ก ให้ลูกเรียนรู้จักตัวเองและพัฒนาจิตใจจากด้านใน
ทุกคนเห็นด้วยว่าภาพลักษณ์ภายนอกสำคัญ..แต่ควรสอนให้ลูกรับรู้และเรียนรู้ว่าตัวตนและจิตใจสำคัญและยั่งยืนกว่าแน่นอน
ขอบคุณ ที่มา : manageronline โดย คุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน