โรคไข้เลือดออก นี้จะมาพร้อมกับ ฝนและน้ำขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะยุงลาย ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม คุณพ่อและคุณแม่ต้องระวังอย่าให้ลูกน้อยของคุณโดนยุงกัด เพราะอาจจะทำให้ลูกของคุณเป็นไข้เลือดออกได้ค่ะ
โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าเดงกี (Dengue) ซึ่งเชื้อไวรัสนี้มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ คือ เดงกี 1, 2, 3, และ 4 โดยมีพาหะนำโรคคือเยุงลาย ในบ้านเราจะพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปีแต่พบมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีฝนตกบ่อยที่ทำให้เกิดน้ำขัง ซึ่งเอื้อต่อการขยายพันธุ์ของยุงลาย และไข้เลือดออกถือเป็นโรคระบาดประจำภูมิภาคของบ้านเรา
1. ระยะไข้สูง : จะพบว่ามีอาการไข้สูงลอย คือ มีอาการไข้สูง ที่แม้กินยาลดไข้ หรือเช็ดตัวแล้วไข้ก็ยังไม่ลด จะเป็นประมาณ 2-7 วัน ซึ่งไม่เท่ากันในแต่ละราย และเนื้อตัวและใบหน้ามักจะแดงกว่าปกติ บางคนอาจมีอาการเยื่อบุตาอักเสบ หรือมีผื่นขึ้น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาจพบว่ามีจุดเลือดออกตามผิวหนัง เช่น มีจุด หรือมีเลือดกำเดาออก
2. ระยะวิกฤติ : หลังจากที่มีไข้สูงระยะหนึ่งแล้ว ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว และจะมีการรั่วของพลาสมา (plasma) หรือน้ำเหลืองออกนอกเส้นเลือด ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมง ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งจะมีความรุนแรงของโรคไม่เท่ากัน
ในกรณีที่รุนแรงจะมีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือดเป็นจำนวนมาก และถ้าให้สารน้ำโดยการกินหรือน้ำเกลือทางเส้นเลือดทดแทนไม่ทัน ผู้ป่วยจะเกิดการช็อกคือความดันโลหิตต่ำ แต่ในกรณีที่ไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะสามารถผ่านระยะวิกฤตนี้ไปได้โดยปลอดภัย
3.ระยะพักฟื้น : เป็นระยะที่มีการดูดกลับของพลาสมาเข้าสู่กระแสเลือด และมีอาการโดยทั่วไปดีขึ้น โดยจะเจริญอาหารมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่มักจะไม่อยากกินอาหาร ชีพจรเต้นช้าลงจากช่วงระยะวิกฤตที่มักจะเต้นเร็วกว่าปกติ ในบางรายจะพบผื่นขึ้นตามร่างกาย ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เรียกว่าผื่นในระยะพักฟื้น และปัสสาวะจะออกมากขึ้น เมื่อเทียบกับระยะวิกฤติ ซึ่งถือว่ากำลังกลับสู่ภาวะปกติ คุณหมอจะหยุดการให้สารน้ำทางเส้นเลือด เพื่อป้องกันการแทรกซ้อนจากภาวะน้ำเกินได้
จัดการไข้เลือดออก ที่พ่อแม่ทำได้
สำหรับโรคไข้เลือดออกนั้น ปัจจุบันไม่มียาที่รักษาโดยเฉพาะ แต่จะเป็นการรักษาตามอาการ
+ ระยะที่ลูกมีไข้สูงลอย คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องมีการดูแลเช็ดตัว หรือให้กินยาลดไข้ (พาราเซตามอลเท่านั้น) ระวังอย่าให้มากเกินความจำเป็น เพราะการเป็นไข้เลือดออกนั้น มีภาวะตับอักเสบอยู่ ตับต้องทำงานหนักในการเม็ตตาโบริซึ่มยา อาจทำให้มีภาวะตับวาย หรือตับอักเสบรุนแรงได้ ถือเป็นระยะสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าสังเกตอาการ การเปลี่ยนแปลง รวมทั้งให้การดูแลสุขภาพของลูกอย่างใกล้ชิด
+ ห้ามกินยาแอสไพรินหรือยาในกลุ่มลดไข้สูง เนื่องจากมีผลทำให้เลือดออกง่ายขึ้นเพราะยากลุ่มนี้มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดซึ่งเป็นกลไกสำคัญเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดในร่างกาย ในบางรายอาจทำให้เกล็ดเลือดต่ำลง หรือทำงานผิดปกติ เลือดจะออกไม่หยุด และเสียชีวิตได้
+ ควรให้ลูกกินอาหารตามปกติและพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยเลือกอาหารอ่อนๆ ที่ดูดซึมง่าย เช่น ข้าวต้ม นม น้ำหวาน น้ำผลไม้ เป็นต้น ถ้าลูกยังทานได้ดี วิ่งเล่นได้ ก็สามารถปฐมพยาบาลที่บ้านได้ แต่หากลูกกินไม่ได้ แล้วมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ซึมลง หรือมีอาการเลือดออกด้วย ก็ควรพาไปพบแพทย์โดยเร็ว
ป้องกันไข้เลือดออก ทำได้ไม่ยาก
ควรจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดแหล่งเพาะพันธ์เจ้ายุงลายพาหนะตัวร้าย โดยการขจัดแหล่งน้ำขังที่อาจจะมีอยู่ในบริเวณบ้าน เช่น แจกันดอกไม้ บ่อเลี้ยงปลา และยุงลายมักออกหากินในเวลากลางวัน ดังนั้นเด็กที่บ้านถือเป็นแหล่งอาหารอันโอชะเลยทีเดียว ดังนั้นก็ควรมีมุ้งลวดกันเจ้ายุงมาเกาะแกะ หรือเป็นห้องที่ปิดมิดชิด
แม้ว่าไข้เลือดออกจะระบาด แต่ก็จัดการได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตและติดตามอาการลูกน้อย เพื่อการตอบสนองได้อย่างทันท่วงที
ข้อมูลวิชาการ : ผศ.นพ.โอฬาร พรหมาลิขิต หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
จาก นิตยสาร Modern Mom