บราเสริมอก
นอกจากแบ่งประเภทตามช่วงอายุ และขนาดคัพ คือตั้งแต่ A-F แล้ว ยังมีการแบ่งประเภทตามกิจกรรมและสรีระของผู้สวมใส่อีกด้วย เช่น
1. ขณะออกกำลังกาย ควรเลือกใช้บราที่เน้นความกระชับ ซึมซับเหงื่อ และระบายความร้อนได้ดี
2. คุณแม่ที่มีน้ำหนักเต้าทรงเพิ่มขึ้น ควรใช้บราที่มีโครงใหญ่ และทำจากผ้าคอตตอน เนื่องจากผิวหน้าอกบอบบางกว่าเดิม
3. สาวๆที่มีน้ำหนักของเต้าทรงมาก ตั้งแต่คัพ C ขึ้นไป ให้เลือกบราชนิดที่มีสายคาดหลังแผ่นกว้างเพื่อช่วยพยุงเต้าทรง
4. เวลานอน ควรใส่บราชนิดที่ไม่มีโครงและยืดหยุ่นได้ดี
5. สาวร่างอ้วนเป็นพิเศษ ผู้ที่ผ่าตัดทำศัลยกรรม หรือสูญเสียเต้านม สามารถสั่งตัดบราที่เหมาะสมกับคุณได้
การเลือกซื้อบรา
ถ้าคุณลองใส่แล้วมีช่องว่างระหว่างบรากับหน้าอก แสดงว่าคัพใหญ่เกินไป แต่ถ้าหน้าอกล้นออกด้านข้าง แปลว่าคัพเล็กเกินไป ขนาดคัพที่พอดีกับหน้าอกนั้น ยอดอกจะต้องชนกับส่วนที่แหลมที่สุดของบรา การใส่บราที่เล็กเกินไปอาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้
ผลกระทบที่คาดไม่ถึง
- สายบราที่รัดตึงเกินไปจะทำให้ปวดศีรษะ ไหล่ หลัง คอ และเป็นจุดเริ่มต้นของการปวดหัวเรื้อรังหรือไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อช่วงไหล่ถูกดึงรั้ง จนเลือดบริเวณนั้นไหลเวียนไม่สะดวก
- การใส่บราไซส์เล็กเกินไปทำให้เกิดภาวะเครียดต่อระบบกล้ามเนื้อ ระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เหนื่อยง่าย บางรายมีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรัง
***จากการศึกษาเรื่อง Bra and Breast Cancer study ที่สหรัฐอเมริกา พบว่าการใส่บราที่รัดแน่นต่อเนื่องเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพราะแรงกดทำให้เกิดการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง และเกิดเป็นก้อนเนื้อที่บริเวณหน้าอก ซึ่งอาจกลายเป็นเนื้อร้ายในเวลาต่อมาได้ง่าย
บรากาว
ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกได้อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก โดยแบ่งเป็นประเภทที่ทำจากซิลิโคน และที่ทำจากผ้า ทั้งสองประเภทมีแถบกาวชนิดพิเศษเพื่อยึดระหว่างบรากาวกับหน้าอก
ข้อแนะนำในการใช้
- ก่อนใช้ ควรทำความสะอาดผิวบริเวณที่สวมใส่ให้แห้งและไม่ควรทาโลชั่น น้ำหอม แป้ง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใดๆ
- หลังใช้ ควรทำความสะอาดบราด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับน้ำด้านที่เป็นกาว แล้วนำไปผึ่งในที่ร่มจนแห้งสนิท แล้วจึงเก็บไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ
ถึงแม้ศูนย์ Womens Health Boutique สหรัฐอเมริกา เชื่อว่าการใช้บรากาวปลอดภัยและไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้าเกิดการระคายเคือง หรือคันบริเวณเต้านม ควรเลิกใช้ทันที
สเตย์รัดหน้าท้อง
อุปกรณ์สำคัญที่ช่วยจัดเรียงกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทำให้หน้าท้องแบนราบ สะโพกและต้นขากระชับได้รูป แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. PANTS มีลักษณะคล้ายกางเกงใน แต่กระชับกว่า
2. HIPS เน้นยกสะโพก เก็บเนื้อบริเวณต้นขา
3. GIRDLE เน้นความกระชับ หน้าท้องแบนราบ
4. BODY SUIT ช่วยกระชับหุ่นตั้งแต่หน้าอก ลงมาถึงช่วงล่าง
ผลกระทบที่คาดไม่ถึง
ผู้ที่สวมสเตย์รัดหน้าท้องนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรง ปวดหลังเป็นประจำหรือปวดหลังเรื้อรัง แม้เวลานั่ง ยืน หรือเดิน
อวัยวะภายในช่องท้องทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากแรงบีบรัดของสเตย์ โดยอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กระเพาะอาหาร ลำไส้ ระบบขับถ่าย มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นและหายใจได้ไม่เต็มที่ในบางราย จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเกิดความเครียด ในระยะยาวจะส่งผลให้ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น ระบบกล้ามเนื้อ(อาการปวดเมื่อยเรื้อรัง) ระบบขับถ่าย(ท้องผูกบ่อย) ระบบย่อยอาหาร(อาหารไม่ย่อยหรือย่อยยาก, เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผล)
จี-สตริง
เป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวที่ไม่ต้องการให้เห็นขอบกางเกงชั้นในเวลาใส่กางเกง หรือกระโปรงแนบเนื้อ แต่การใส่ จี-สตริง โดยขาดความรู้ด้านสุขอนามัยย่อมส่งผลเสียได้เช่นกัน
ผลกระทบที่คาดไม่ถึง
1. การใส่ จี-สตริง ที่มีขนาดเล็ก หรือสายรัดตึงเกินไป ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อบริเวณง่ามก้นหรือเกิดการเสียดสีจนอาจเป็นแผลผิวหนังถลอก หรืออักเสบที่บริเวณอวัยวะเพศ หรือทวารหนักได้
2. หากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ สายของ จี-สตริง จะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียบริเวณรอบทวารหนัก ชื่อ Gardinerella Vaginalis เป็นเหตุให้แบคทีเรียดังกล่าวแพร่เข้าสู่ช่องคลอด เกิดปัญหาการติดเชื้อ มีอาการตกขาว กลิ่นเหม็น และคันที่บริเวณอวัยวะเพศได้โดยง่าย
ดังนั้นในการเลือกซื้อชุดชั้นใน สาวๆควรต้องระมัดระวังให้มากนะคะ เลือกชุดชั้นในให้เหมาะสมกับสรีระและกิจกรรมที่ต้องทำ เพื่อความปลอดภัย และลดอัตราการเกิดผลข้างเคียงของการสวมใส่ชุดชั้นในค่ะ
เรียบเรียงข้อมูจาก www.108health.com