ออริจินส์จับมือ ดร. แอนดรูว์ ไวล์ แนะนำเคล็ดลับเพื่อการดูแลดวงตาคู่สวย
ดร. แอนดรูว์ ไวล์ แพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และนักพฤกษศาสตร์ ผู้นำด้านการแพทย์แบบองค์รวม Integrated Medicine ขอแนะนำวิธีการดูแลรักษาดวงตา และผิวบริเวณรอบดวงตาอันละเอียดอ่อน แบบองค์รวมโดยการผสานการดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก
ดวงตาเป็นอวัยวะอีกส่วนหนึ่งที่ทำงานหนักตลอดวัน จึงเป็นสาเหตุให้ดวงตาเป็นจุดที่แสดงถึงความเครียด และความเหนื่อยล้าได้อย่างชัดเจน และยังเป็นอีกจุดหนึ่ง ที่มักจะเห็นร่องรอยแห่งวัยได้ดีเป็นพิเศษ ดังนั้นการนวด และการกดจุดประกอบ จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตาได้รับความผ่อนคลาย และยังเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาบนผิวรอบดวงตาต่างๆ ได้อย่างดีอีกด้วย
และคุณรู้อีกหรือไม่ว่า คุณเองอาจจะทำร้ายผิวบริเวณรอบดวงตาให้ช้ำ หมองคล้ำมากขึ้น เพราะการทำความสะอาดผิวหรือ เมคอัพรอบดวงตาก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำร้ายผิวแสนบอบบางได้เช่นกัน
เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์คืนความแข็งแรงให้ดวงตา โดย ดร. แอนดรูว์ ไวล์
เข้ารับการตรวจตาเป็นประจำทุกๆ 2-4 ปี และทุกๆ 1-2 ปี สำหรับอายุ 65 ปีขึ้นไป
สำหรับผู้ที่ต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตาโดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10-15 นาที
สวมใสแว่นตาดำที่สามารถปกป้อง และกรองแสงยูวี ทุกๆ ครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควัน และฝุ่นละอองต่างๆ โดยตรง
Eye Exercise
บ่อยครั้งมักจะพบว่าปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับสายตาที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุมีสาเหตุจากากรผิดปกติของกล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อตาที่ขาดความยืดหยุ่นทำให้ประสิทธิภาพในการโฟกัสภาพในระยะต่างๆ ลดลง และยังคงส่งผลให้เกิดอาการสายตาสั้น การบริหารกล้ามเนื้อตาสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และถึงแม้สำหรับคนที่มีปัญหาสายตาสั้นอยู่แล้วก็ตาม การบริการกล้ามเนื้อตาสามารถช่วยแก้ปัญหาสายตาสั้นได้เช่นกันและเพราะการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของระบบประสาทจะถูกส่งไปยังสมอง ทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อต่างๆ ในร่างกาย การบริหารกล้ามเนื้อตาจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ในร่างกายอีกด้วย
ท่าบริหารที่ 1
กรอกตาขึ้นด้านบนให้สูงที่สุดและต่อด้วยการกรอกตาลงข้างล่างให้ต่ำที่สุด ทำสลับกันทั้งหมด 4 ครั้ง และจบที่การกระพริบตาเร็วๆ สักครู่ เพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อตา
ท่าบริหารที่ 2
กรอกตาไปด้านข้างซ้ายขวาในระดับสายตา ถือดินสอหรือนิ้วชี้ไว้ข้างๆ ตัวโดยกำหนดให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกับสายตา เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการมอง ระยะห่างของเกณฑ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย โดยเกณฑ์การมองควรจะอยู่ในจุดที่คุณสามารถเหลือบมองข้าง และเห็นอย่างชัดเจนโดยที่ไม่ต้องเกร็งตามากจนเกินไป เริ่มกรอกตาสลับซ้ายขวาทั้งหมด 4 ครั้ง และปิดท้ายด้วยการกระพริบตาเร็วๆ ประมาณ 2-3 ครั้ง และหลับตาเพื่อพักสายตาสักครู่เป็นการจบกานบริหารท่าที่ 2
ท่าบริหารที่ 3
กำหนดจุดที่คุณสามารถมองเห็นเมื่อคุณกรอกตามองขึ้นบริเวณขวามือ และกำหนดจุดที่คุณสามารถเหลือบได้ อย่างชัดเจนเมื่อคุณมองลงที่มุมล่างซ้ายมือ เมื่อคุณกำหนดจุดเสร็จแล้ว ให้เริ่มกรอกตาไปมาซ้ายขวาประมาณ 4 ครั้ง โดยระวังไห้มีการเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนอื่นๆ และนั่งหลังตรง มือแขนอยู่ข้างลำตัววางมือบริเวณหัวเข่าทั้ง 2 ข้าง เมื่อบริหารตาซ้ายขวา 4 ครั้งแล้ว ให้กระพริบตาเร็วๆ สักครู่เพื่อและหลับตาเพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อ
ท่าบริหารที่ 4
หลับตาให้สนิทที่สุดเท่าที่คุณทำได้ประมาณ 3 วินาทีและรีบลืมตา เพราะการหลับตาให้สนิทจะทำให้กล้ามเนื้อตามีการเกร็งหดตัว และคลายตัวอย่างรวดเร็ว การบริหารตาในท่านี้มีประโยชน์ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีการล้าของกล้ามเนื้อตามี่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายตา
ท่าบริหารที่ 5
การบริหารตาในท่านี้นับได้ว่าสามารถทำได้ง่ายและสบายที่สุด แต่สำคัญที่สุดในการดูแลรักษาสายตา โดยการบริหารสายตาในท่านี้สามารถผ่อนคลายระบบประสาทได้อย่างดี และเป็นการจบขั้นตอนการออกกำลังกายสายตาได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย เริ่มจากาการนั่งชันเข่า โดยให้เข่าทั้งสองข้างแยกออกจากกันเล็กน้อย และประสานมือเข้าด้วยกัน และถูมือเล็กน้อยสร้างความอบอุ่น จากนั้นค่อยๆเอามือทั้งสองปิดตาเบาๆโดยให้ปลายนิ้วก้อยของมือทั้งสองข้างไขว้กัน และวางข้อซอกลงบนหัวเข่าทั้ง 2 ข้าง และพยายามอย่าก้มหน้าและหายใจลึกๆ โดยทำการพักสายตาสักครู่ และค่อยๆเพิ่มเวลาการพักสายตา การพักสายตานั้นช่วยคลายกล้ามเนื้อตาและความเครียด สุขภาพสายตาจึงดีขึ้นในระยะยาว เพราะกล้ามเนื้อและเส้นประสาทตาจะได้รับสารอาหารต่างๆได้มากขึ้นจากเส้นเลือดหล่อเลี้ยงตาขยายตัวได้มากขึ้น
อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส
บริโภคผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti oxidant) ในบริมาณสูง เช่น ผลบิลเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ พร้อมทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและมีความไวในที่มีแสงน้อยๆ ดีกว่า
บริโภคผัก ผลไม้ ที่มีสารลูทีน (Lutien) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม ที่สามารถพบได้ในผลอโวคาโด บล็อคโคลี่ ข้าวโพด ฝักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา
บริโภคสารสกัดของโอเมกา 3 หรือ รับประทานปลาชนิดต่างๆ
อัจฉริยะภาพแห่งธรรมชาติเพื่อดวงตา
ออกกำลังดวงตาแล้วอย่าลืมที่จะบำรุงรอบดวงตาให้พ้นจากรอยหมองคล้ำ ด้วย Dr. Andrew Weil for Origins™ Mega-Bright Eye illuminating cream พิสูจน์ผลลัพธ์แห่งความกระจ่างใสใต้ดวงตาใน 4 สัปดาห์* กับปฏิบัติการ 3 ระบบ ตรงเข้าดูแลที่ต้นเหตุแห่งความหมองคล้ำและปัญหาผิว
(สารสกัดเข้มข้นจาก Molasses และ Ume) คืนความกระจ่างใส (ด้วยสารสกัดจาก Rosa Roxburghii )พร้อมรับมือกับกระบวนการทำร้ายผิวรอบดวงตาในอนาคต ตามทฤษฎีทางการแพทย์แบบบูรณการของดร. ไวล์ ที่ตอกย้ำความสำคัญของการดูแลผิวในการรับมือกับต้นตอของปัญหา และช่วยปกป้องผิวจากการเกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคตด้วย (Centella Asiatica) จึงคลายข้อกังวลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ABOUT DR. ANDREW WEIL
30 ปีที่ผ่านมา ดร. แอนดรูว์ ไวล์ แพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และนักพฤกษศาสตร์ ได้ทุ่มเทค้นคว้า ศึกษา และเผยแพร่
ความรู้เรื่องการแพทย์แบบบูรณาการ ซึ่งหมายถึงการรักษาคนๆ นั้นแบบองค์รวม (ร่างกาย จิตใจ และความรู้สึก) และรวมถึงไลฟ์สไตล์ "ผมคิดว่าความน่าสนใจของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมคือการทำให้ผู้คนสามารถดูแลร่างกายของตัวเองได้ในหลายๆ แบบ" ดร. ไวล์กล่าว หนึ่งในความสำเร็จของดร. ไวล์ คือการที่นิตยสาร Time ยกย่องให้เป็น "หนึ่งใน 100 คนที่ทรงอิทธิพล" ในปี 2006 และเป็น "ตัวแทนของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม" เขาเขียนหนังสือที่ติดอันดับยอดจำหน่ายสูงสุดหลายเล่ม รวมทั้งหนังสือที่ชื่อว่า 8 Weeks to Optimum Health, Healthy Aging และ Spontaneous Happiness
ดร. ไวล์ บริจาครายได้ทั้งหมดหลังหักภาษีจากการจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Dr. Andrew Weil for Origins™ ให้แก่ Weil Foundation องค์กรไม่แสวงผลกำไร และก่อตั้งขึ้นสนับสนุนการแพทย์แบบบูรณาการ ผ่านการเพื่อการศึกษา อบรม และวิจัย ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์กรได้ที่ www.weilfoundation.org
* จากการทดสอบโดย Estee Lauder Companies สหรัฐอเมริกา ในอาสาสมัครหญิง 21 ราย ระหว่างเดือนเมษายน มิถุนายน 2556