รู้-เพราะ-รัก Pink Alert ความรู้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ญาติผู้ป่วย และประชาชนทั่วไป




สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก (Globocan) พบว่ามะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งในผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก จากสถิติดังกล่าวในปี 2555 มีผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมทั่วโลกทั้งสิ้นราว 6,255,000 ราย ซึ่งในทุกๆ 1 นาที จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม 1 ราย สำหรับประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกว่า 54,000 ราย ซึ่งยังไม่นับรวมผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ยังตรวจไม่พบหรือยังไม่ได้เข้ารับการรักษา ทั้งนี้ ผู้หญิงไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านมถึงวันละ 14 ราย

 รศ.นพ. วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าจากสถิติของอุบัติการณ์ดังกล่าวทางสมาคมเล็งเห็นถึงความสำคัญของการให้ความรู้และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องโรคมะเร็งเต้านมแก่ผู้หญิงไทย จึงได้จัดงาน “รู้-เพราะ-รัก Pink Alert : Check & Share Project 2015” ขึ้นเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ผู้หญิงตระหนักว่า “โรคมะเร็งเต้านม” เป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับผู้หญิง และทุกคนก็มีความเสี่ยง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้หญิงไทยสนใจดูแลตัวเองโดยไปตรวจคัดกรองเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม

โดยในงานได้มีช่วงเสวนาโดยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง “รู้ทันมะเร็งเต้านม แนวทางในการรักษา และการเข้าถึงในปัจจุบัน” ซึ่งการให้ความรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมและวิธีการรักษา จะทำให้ผู้ป่วยมีความเข้าใจถึงความแตกต่างของมะเร็งเต้านมชนิดต่างๆ ระยะของมะเร็งเต้านม ปัจจัยความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องเพื่อจะนำไปสู่การวางแผนการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม  จะช่วยให้โอกาสในการรักษาหายมีสูงขึ้น 

นอกจากให้ความรู้ด้านวิชาการแล้ว ยังจัดให้มีกิจกรรม “Check & Share” แนะนำการตรวจเต้านมด้วยตนเองแบบง่ายๆ ได้ที่บ้าน และร่วมรณรงค์ให้ดูแลคนใกล้ชิดหรือคนที่รักด้วยการชักชวนกันมาตรวจเต้านม 

ภายในงานยังมีกิจกรรมส่งเสริมกำลังใจมากมาย ฟังประสบการณ์การต่อสู้กับโรคมะเร็งเต้านมในช่วง “Case & Share: ระยะสุดท้าย..จะหายให้ดู” โดย แม่นุ่น และ พ่อตุลย์ ช่วง “Beauty Alert: ถึงจะป่วย..ก็สวยได้” โดย คุณม้า-อรนภา กฤษฎี บิวตี้กูรูชื่อดังของเมืองไทย และพบดาราดัง คุณแต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ ควงคู่พี่สาว ทพญ. ณัฐวดี เตมีรักษ์ มาร่วมพูดคุยแบบใกล้ชิดภายในงาน พร้อมด้วย คุณกาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ รับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ 

ผู้เข้าร่วมงานยังได้ร่วมกิจกรรมอื่นๆ อาทิเช่น ร่วมประดิษฐ์หมวก แต่งหน้าคัพเค้ก เย็บเต้านมเทียม และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบเต้านมเทียมและหมวกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมต่อไป 



โรคมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลที่อยู่ภายในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม เซลเหล่านี้มีการแบ่งตัวผิดปกติ ไม่สามารถควบคุมได้ มักแพร่กระจายไปตามทางเดินน้ำเหลือง ไปสู่อวัยวะที่ใกล้เคียงเช่น ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ หรือแพร่กระจายไปสู่อวัยวะที่อยู่ห่างไกล เช่น กระดูก ปอด ตับ และสมอง เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆ  

มะเร็งเต้านมพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้ชายมีโอกาสพบได้น้อยมากเพียง1 % ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด จากการเก็บข้อมูลจำนวนผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างๆในประเทศไทยในปี พ.ศ.2555 พบว่า มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 
 


Ref: Hospital-based cancer registry annual report 2012: National Cancer Institute department of medicine services ministry of public health Thailand

มะเร็งเต้านมสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ 
ระยะ 0 เป็นระยะเริ่มต้นของเซลล์มะเร็ง ซึ่งยังไม่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อเต้านม
ระยะ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และยังไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง
ระยะ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2-5 เซนติเมตร ซึ่งอาจจะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้หรือไม่ก็ได้ หรือมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น
ระยะ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร และรุกรามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น
ระยะ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆแล้ว

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม
1. ผู้หญิงที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านมหรือมีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นญาติใกล้ชิด เช่น แม่พี่สาวหรือน้องสาว เป็นต้น
2. ผู้หญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรคนแรกเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี 
3. ผู้หญิงที่รอบเดือนมาเร็ว และหมดช้า หรือใช้ฮอร์โมนทดแทนเป็นเวลานานกว่า 10 ปี 
4. ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่อายุ 40  ปีขึ้นไป

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านม จะใช้การตรวจประเมินร่วมกัน คือ 
เมื่อพบอาการผิดปกติที่สงสัยว่าอาจจะเป็นมะเร็งเต้านม ได้แก่ การพบความผิดปกติของภาพการตรวจเอ็กซเรย์เต้านม คลำพบก้อนที่เต้านม หรือเกิดความผิดปกติที่เต้านม ควรปรึกษาแพทย์ ซึ่งอาจมีการซักประวัติ อาการที่เป็น ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมและการตรวจร่างการทั่วไป รวมทั้งการตรวจเต้านม ดังนี้
1. การคลำ แพทย์จะตรวจลักษณะของก้อนและเต้านมโดยทั่วไป รวมทั้งบริเวณรักแร้ และเหนือกระดูกไหปลาร้า
2. การตรวจแมมโมแกรม การตรวจเอ็กซะเรย์เต้านม ทำให้ทราบรายละเอียดเพิ่มเติมโดยเฉพาะลัษณะของก้อนเหมือนก้อนมะเร็งหรือไม่ ขนาดและขอบเขตของก้อน จำนวนก้อนที่มี
3. การตรวจคลื่นสะท้อนแรงสูง (ultrasonography) ช่วยแยกโรคได้ว่าก้อนที่เป็น เป็นก้อนเนื้อทั้งหมด หรือเป็นถุงน้ำ และใช้ดูประกอบกับการตรวจแมมโมแกรม (mammogram)

จากข้อมูลเบื้องต้น แพทย์จะตัดสินใจว่าต้องมีการตรวจเพิ่มเติมหรือการรักษาจำเป็นหรือไม่ ในรายที่ลักษณะการตรวจเข้าได้กับลักษณะของเนื้องอกไม่ร้ายแรง แพทย์อาจนัดผู้ป่วยมาตรวจสม่ำเสมอ เพื่อตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของรอยโรค ในรายที่สงสัยอาจต้องมีการเจาะหรือตัดก้อนเนื้อตรวจเพิ่มเติม ดังนี้

1. การเจาะตรวจด้วยเข็มขนาดเล็ก
การใช้เข็มขนาดเล็กเจาะตรวจก้อนที่สงสัยว่าเป็นถุงน้ำ เพื่อดูดน้ำมาตรวจ หรือเจาะก้อนเนื้อเต้านมที่สงสัย และตรวจด้วยจุลทรรศน์เพื่อดูลักษณะของเซลล์ที่เจาะตรวจ

2. การตัดเนื้อตรวจด้วยเข็ม
โดยการใช้เข็มขนาดใหญ่ เจาะตัดก้อนเนื้อเต้านมที่สงสัย หรือ เจาะบริเวณที่ผิดปกติจากการตรวจเอ็กซเรย์แมมโมแกรม ส่งไปที่ห้องปฏิบัติการพยาธิวิทยา เพื่อให้พยาธิแพทย์ตรวจ ลักษณะของเซลล์ว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่

3. การผ่าตัดตรวจชิ้นเนื้อ 
แพทย์ตัดเนื้อบางส่วนหรือทั้งหมดของก้อนเนื้อเต้านมที่สงสัย พยาธิแพทย์จะตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง เมื่อการตรวจชิ้นเนื้อยืนยันว่าเป็นเซลล์มะเร็งเต้านม ควรมีการตรวจย้อมพิเศษเพิ่มเติม เพื่อตรวจดูความรุนแรงของโรคมะเร็งที่เป็นและเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับรอยโรคที่ตรวจพบ โดยตรวจตัวรับฮอร์โมน (hormone receptor) ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen receptor) และตัวรับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (progesterone receptor) ถ้าให้ผลบวกแสดงว่าโรคตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีฮอร์โมนบำบัด และตรวจย้อมยีนมะเร็งเฮอร์ทู (HER-2 onco gene) ซึ่งถ้าให้ผลบวก แสดงว่าโรคมะเร็งเต้านมเป็นชนิดร้ายแรง ดื้อยาเคมีบำบัดและโรคกลับเป็นซ้ำรวดเร็ว ตลอดจนผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเร็วกว่าผู้ที่ตรวจไม่พบยีนมะเร็งเฮอร์ทู นอกจากนี้ผลของยีนมะเร็งเฮอร์ทู สามารถทำนายการตอบสนองต่อการรักษาด้วยช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy) 

การรักษามะเร็งเต้านม จะอาศัยทีมแพทย์ในสาขาต่างๆ เช่น ศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ และอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง มาร่วมกันวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกวิธีการรักษาของแพทย์ เช่น
• ขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของเซลล์มะเร็ง
• ระยะโรคและการกระจายของมะเร็ง
• อายุและสุขภาพของผู้ป่วย
• ตัวรับฮอร์โมนของมะเร็ง
• ภาวะก่อนหรือหลังหมดประจำเดือน
• ปัจจัยที่บ่งบอกความรุนแรงของเนื้องอก เช่น ยีน HER2

ทางเลือกในการรักษามะเร็งเต้านม
• การผ่าตัด
• รังสีรักษา
• เคมีบำบัด
• การรักษาโดยใช้ฮอร์โมน
• การใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy)

และในปัจจุบัน ยาทราสทูซูแมบ (Trastuzumab) ซึ่งเป็นยารักษามะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น เสริมร่วมกับยาแพคลิแท๊กเซิล (Palitaxel)ได้ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว เป็นยาจำเป็นที่ผู้ป่วยควรได้รับ ทำให้เกิดความครอบคลุมการรักษามากขึ้น และยังทำให้ผู้ป่วยระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถเข้าถึงการรักษา จากการศึกษาประเมินของทางไฮเทปยังพบว่า ระหว่างผู้ป่วยที่ใช้ยาข้างต้นกับการรักษาผู้ป่วยแบบประคับประคอง การใช้ยาข้างต้นสามารถประหยัดงบประมาณค่ารักษาได้มากกว่า และยังมีความคุ้มค่าช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้น
 



Tag :




แสดงความคิดเห็น






Content-Seo


Advertisement