พบบ่อยในคนที่มีความเครียดสูง รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ชอบอาหารรสจัด โดยปกติโรคนี้จะเกิด 2 บริเวณ คือ แอ่งของของกระเพาะ ละบริเวณส่วนต่อระหว่างกระเพาะกับลำไส้ ซึ่งในบริเวณที่ 2 นี้จะพบบ่อยกว่าบริเวณแรก

ในกระเพาะมีต่อมผลิตน้ำย่อยจำนวนมาก และตามปกติเยื่อบุกระเพาะอาหารสามารถทนทานต่อน้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดได้ แต่เมื่อเยื่อบุอ่อนแอขาดความต้านทาน น้ำย่อยจะสามารถก่อความระคายเคืองและเกิดแผลตามมา

เพราะว่าร่างกายขาดโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่ร่างกายต้องใช้ในการสร้างสารต้านทานความเป็นกรด นอกจากนี้พฤติกรรมการกินอาหาร เช่น การรีบกิน กินไม่เป็นเวลา กินอาหารรสจัด สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ก็เป็นสาเหตุได้ที่จะทำให้เส้นประสาทซึ่งทำหน้าที่ควบคุมปริมาณโลหิตไปหล่อเลี้ยงเยื่อบุกระเพาะติดขัด ส่งผลให้เยื่อบุอ่อนแอประกอบกับเมื่ออยู่ในภาวะเครียด ความเป็นกรดของน้ำย่อยจะมีความเข้มข้มสูง จึงยื่งทำให้เยื่อบุระคายเคืองและเกิดแผลได้ง่าย

อาการปวดท้องที่เกิดทันทีหลังรับประทานอาหาร โดยมักปวดต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง 2-3 ชั่วโมง อาหารปวดเป็นผลมาจากการมีเลือดออกในกระเพาะ ในขณะที่กระเพาะกำลังทำการย่อยอาหารอยู่ หากเราปล่อยให้อาการปวดเกิดขึ้นบ่อย ๆ โดยไม่รีบรักษา แผลในกระเพาะจะอักเสบเรื้อรังบานปลาย อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ที่อาจปนเปื้อนมากับอาหาร หรือจากการคลุกคลีกับคนที่ติดเชื้อนี้อยู่ ซึ่งแบคทีเรียนี้สามารถทนทานต่อน้ำย่อย ทั่งยังเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมของกระเพาะ มันจะชอนไชให้แผลอักเสบหนักขึ้น ถึงจะไม่ค่อยพบเชื้อนี้บ่อยนักแต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะมีงานวิจัยพบว่าเชื้อนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารด้วย 

หากเพิ่งเป็นระยะแรก จะสามารถควบคุมไม่ให้กำเริบได้ เพียงจัดอาหารให้กระเพาะทำงานงง่ายที่สุด อาหารดังกล่าวได้แก่ ข้าวต้ม ข้าวโอ๊ต ครีมซุป คัสตาร์ด วุ้น สาคูเปียก นม ตับบด เนื้อบด หรือผักผลไม้ที่ต้มจนนเละ รสชาติอาหารควรเป็นรสชาติกลาง ๆ งดเครื่องเทศและเครื่องปรุงแต่งกลิ่นรสจัด ควรงดชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ ส่วนเครื่องดื่มที่เหมาะคือ น้ำสะอาดและนม นอกจากนี้ควรแบ่งการรับประทานเป็นมื้อละน้อย ๆ แต่หลายมื้อ เพราะไม่ควรให้อิ่มจนเกินไปในมื้อเดียว