5 ข้อที่ควรรู้สำหรับคนที่กลัวการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
สำหรับผู้ที่มีปัญหารอบดวงตา เช่นปัญหาริ้วรอยใต้ตา ตาลึก ตาโหล ขอบตาดำ ถุงใต้ตา ซึ่งทำให้ดูมีอายุ หน้าดูโทรมและไม่สดใส
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหนึ่งวิธีการแก้ปัญหาที่แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ลง ช่วยรักษาริ้วรอย ร่องลึกต่างๆที่เกิดขึ้นบนในหน้า นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถแก้ไขโครงสร้างใบหน้า ปรับรูปหน้าในจุดต่างๆ เช่น คาง ขมับ หน้าผาก จมูก โดยไม่ต้องผ่าตัดอีกด้วย
ฉีดฟิลเลอร์ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยในเรื่องของการปรับรูปหน้าและแก้ปัญหาร่องแก้มได้อีกด้วย เพราะการเติมใต้ตาจะช่วยยกผิวบริเวณหน้าแก้มขึ้น ทำให้ร่องแก้มดูตื้นลงและมีความเป็นธรรมชาติ
5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ต่อไปเรามาดูกันบ้างทั้ง 5 ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นมีอะไรบ้าง และก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นเราจะต้องตรวจสอบอะไรบ้างเพื่อความปลอดภัยหลังทำ
1. ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร อันตรายไหม
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การเติมสารเติมเต็มเข้าไปในบริเวณใต้ตาที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก เมื่อคนเราอายุมากขึ้นกระดูกจะยุบตัวลง เนื้อน้อยลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย หน้าดูโทรม อ่อนล้า เกิดเป็นร่องรอยใต้ตา การฉีด filler ใต้ตา จึงเป็นการแก้ปัญหาลดริ้วรอย แก้ปัญหา ใต้ตาดำคล้ำ ถุงใต้ตา ฉีดเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ฉีดใต้ตาคล้ำ ช่วยทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดูสดใสเปล่งปลั่งมากขึ้น
ซึ่งสารฉีดเติมเต็ม (Injectible Filler) ทั้งในไทยและในต่างประเทศ มีหลายประเภทดังนี้
- HA (Hyaluronic Acid) เป็นฟิลเลอร์ที่นิยมและปลอดภัยที่สุด เนื่องจากสามารถย่อยสลายได้ และสามารถฉีดซ้ำได้อีกเรื่อยๆ นิยมใช้กันทั่วโลก
- Collagen จากสัตว์ แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว เพราะทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ และบวม แดงได้ง่าย
- Transplanted Fat (ไขมัน) เหมาะกับคนที่ต้องการฉีดครั้งละมากๆ ประมาณ10-20 cc ขึ้นไป แนะนำให้ฉีดเป็นไขมันเพื่อเติมเต็ม
- Biosynthetic polymers เช่น Calcium hydroxylapatite, polymethylmethacrylate หรือซิลิโคนเหลว กลุ่มนี้จะเป็นฟิลเลอร์ชนิดที่สลายไม่หมด สามารถอยู่ได้นานกว่า 5 ปี แต่ไม่ปลอดภัย และไม่ผ่าน อย.
ดังนั้นใต้ตาเป็นอวัยวะที่บอบบางและดวงตาก็เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย การฉีดฟิลเลอร์ให้ปลอดภัยจึงจำเป็นต้องมีแพทย์ที่มีประสบการณ์เป็นผู้ฉีดให้ และใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง ที่สำคัญต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ สามารถสลายได้ 100% ไม่มีสารตกค้าง จึงจะมีความปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย
อันตรายของฟิลเลอร์ปลอมมีอะไรบ้าง
ในส่วนของความอันตรายและต้องระวังคือฟิลเลอร์ปลอมหรือซิลิโคนเหลว ซึ่งมีราคาถูกกว่า หรืออาจจะเป็นฟิลเลอร์จริงแต่ไม่บริสุทธิ์ ทำให้เกิดอันตราย เนื่องจากไม่สามารถสลายออกได้ 100% ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. และเป็นสารต้องห้ามที่ผู้สนใจฉีดฟิลเลอร์ควรระวัง
2. ไขข้อสงสัยความแตกต่างระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS การฉีดไขมันใต้ตา
นอกจากนี้การฉีดฟีลเลอร์ใต้ตาและการฉีดไขมันใต้ตา สามารถช่วยแก้ปัญหาเนื้อบริเวณใต้ตายุบตัวลงได้เหมือนกันแต่ความแตกต่างของทั้ง 2 หัตถการคือ
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะใช้สารไฮยารูรอนิค เอซิด ฉีดเติมบริเวณใต้ตา ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ทันที ไม่มีแผล ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้น แต่อาจจะมีอาการบวมหลังฉีดประมาณ 2-3 วัน จากนั้นจะค่อยๆยุบลง
- การฉีดไขมันใต้ตา จะใช้ไขมันในร่างกายของผู้ใช้บริการ นำมาฉีดเติมบริเวณใต้ตา ซึ่งจะต้องมีขั้นตอนในการดูดไขมันซึ่งทำให้เกิดแผลและความเจ็บปวดบริเวณอื่นในร่างกายเล็กน้อย แต่ข้อดีคือจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้เพราะเป็นไขมันในร่างกายของตนเอง ส่วนผลลัพธ์จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจน
3. เลือกฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไร ต้องใช้กี่ CC
การฉีดฟิลเลอร์ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินและแนะนำยี่ห้อที่เหมาะกับแต่ละบุคคล รวมถึงปริมาณที่เหมาะสมต่อการฉีด ซึ่งใช้ปริมาณ CC มาก-น้อย ไม่เท่ากัน สำหรับผู้ที่มีปัญหากระดูกใต้ตามีการยุบตัวมาก ๆ ใต้ตาลึก เช่น ผู้ที่อายุมากอาจจะต้องใช้ฟิลเลอร์มากถึงข้างละ 2-3 CC แต่โดยปกติทั่วไปแล้ว คนส่วนใหญ่จะใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาเพียงข้างละ 1-2 CC ก็สามารถได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ และเห็นความต่างได้อย่างชัดเจน
4. เลือกยี่ห้ออย่างไร ยี่ห้อไหนที่แนะนำ
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นบริเวณที่ต้องใช้ความชำนาญ ความรู้และประสบการณ์ในการฉีด จะมีการแบ่งเป็นผิวชั้นลึกและชั้นตื้น ซึ่งการฉีดใต้ชั้นตื้นต้องใช้ความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เนื่องจากผิวหนังใต้ตาค่อนข้างบางจึงควรเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฉีดแล้วไม่ฟูมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ตาดูบวม และไม่เป็นธรรมชาติ ในส่วนของฟิลเลอร์ที่แนะนำสำหรับฉีดใต้ตา คือ Restylane, Juvederm และ Belotero ซึ่งฉีดแล้วจะดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง คงรูปไม่ฟูเยอะ แต่จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย สามารถให้แพทย์ช่วยประเมินได้
4.1 ยี่ห้อ Juvederm มีเทคโนโลยี Vycross และ Hylacross โดย เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Allergan มีความพิเศษ คือมีความคงตัว มีโมเลกุลยึดเกาะเหนียวแน่นขึ้น ช่วยยกกระชับได้ดีและมีความเป็นธรรมชาติมาก ในเนื้อฟิลเลอร์จะมี crosslink อยู่ ทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น สลายช้าลง เหมาะกับผิวบริเวณที่ต้องขยับบ่อยๆ
4.2 ยี่ห้อ Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตในประเทศสวีเดน ใช้เทคโนโลยี NASHA techology และ OBT technology ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะซึ่งเนื้อฟิลเลอร์จะมีความเป็นเม็ดละเอียด เป็นเนื้อ Filler ที่มีค่า Elasticity สูงที่สุด เหมาะกับฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถปรับรูปทรงได้หลากหลายแบบ
4.3 ยี่ห้อ Belotero มีความยืดหยุ่นมาก และเกาะกันเป็นเนื้อเดียว ไม่ไหลเป็นก้อน สามารถฉีดได้ทั้งการเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก และเก็บรายละเอียดผิวใต้ตาให้เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อแก้ปัญหาใต้ตา ถุงใต้ตา ตาคล้ำ
5. ฟิลเลอร์ฉีดกี่วันจึงจะเห็นผล และอยู่ได้นานแค่ไหน
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด ใต้ตาที่ยุบลงไปจะเต็มขึ้น ริ้วรอยและถุงใต้ตาลดลงแต่จะยังมีอาการบวมจากเข็มและเนื้อฟิลเลอร์ยังเข้าที่ไม่เต็ม 100% ซึ่งปกติแล้วจะมีการติดตามผลหลังฉีด 2 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาปกติแล้วจะอยู่ได้ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ ก็มีส่วนในการทำให้ฟิลเลอร์สบายช้าหรือเร็วขึ้นได้ด้วย
ความเชื่อเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์
นอกจากข้อควรรู้ทั้ง 5 ข้อแล้ว ในบางคนยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องฟิลเลอร์ใต้ตตาแบบผิดๆ อีกเช่น
ฉีดฟิลเลอร์ทำให้ตาบอดจริงไหม
บางคนอาจจะเคยได้ยินว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทำให้เสี่ยงต่อตาบอดได้
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ทำให้ตาบอดได้จริง แต่มีความเป็นไปได้และอัตราการเกิดค่อนข้างต่ำ เพราะในปัจจุบันมีเทคโนโลยีและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ที่ผู้ใช้บริการสามารถหาข้อมูลและเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย เพื่อเลี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
แต่สาเหตุที่ฉีดแล้วตาบอดหรือมีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ที่เป็นอันตรายส่วนใหญ่ จะเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม และฉีดกับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์จริงๆ ไม่มีความรู้ ทำให้เกิดการผิดพลาด อาจจะฉีดฟิลเลอร์เข้าหลอดเลือดและทำให้หลอดเลือดเกิดการอุดตันแต่ถ้าหากฉีดฟิลเลอร์แท้กับแพทย์ที่เชี่ยวชาญและมีความรู้ ก็จะมีความปลอดภัยสูงและไม่เสี่ยงตาบอดแน่นอน
หลังฉีดฟิลเลอร์จะทำให้หน้าแก่ลงจริงไหม
และอีกความเชื่อและการบอกต่อพูดคุยกันว่าหลังจากฟิลเลอร์สลายหมด หน้าจะแก่ลง ต้องให้ข้อมูลเรื่องนี้เลยว่า หลังฟิลเลอร์สลายหมดจะไม่ทำให้หน้าแก่ขึ้น แต่จะช่วยชะลออายุผิวให้แก่ช้าลง เพราะการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีความชุ่มชื้น เพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงผิว หลังจากฟิลเลอร์สลายหมดจะมีคอลลาเจนและอิลาสตินหลงเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าฟิลเลอร์จะสลายไปแล้วแต่สภาพผิวก็ยังคงเปล่งปลั่งและดีขึ้นกว่าตอนไม่ได้ฉีด ซึ่งเป็นเหมือนการชะลออายุผิว ทำให้ดูอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น
การดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
หลังจากที่เรารู้ถึง 5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตากันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันบ้างว่าหากจะเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นจะต้องมีการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังอย่างไรบ้าง
การดูแลก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวคลินิก แพทย์ เทคนิคในการฉีด และวิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่พึงพอใจ สามารถติดต่อสอบถามทางคลินิกเพื่อประกอบการตัดสินใจได้
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 1 สัปดาห์ จำเป็นต้องงดยาและวิตามินบางชนิดก่อน ได้แก่ แอสไพริน, ginko biloba, NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
- งดยาทาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ รวมถึงงดเลเซอร์และนวดบริเวณที่จะฉีดอย่างน้อย 3 วัน
- หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- เลี่ยงการจับ สัมผัสและกดนวดในจุดที่ฉีด ซึ่งอาจจะมีอาการบวมแดงหรือเขียวช้ำเป็นปกติ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 วัน
- หากก่อนทำไม่ได้ทานยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรีบกินยาฆ่าเชื้อทันที และนอกจากนี้หากมีอาการปวด บวม สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
- ควรอยู่ในที่อากาศเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด
- งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
- 3 วันแรกหลังจากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา พยายามอย่าเคลื่อนไหวในบริเวณที่ฉีดมากเพราะอาจจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนได้
- งดทานอาหารที่ส่งผลต่อการอักเสบ ทำให้เกิดอาการบวมและฟิลเลอร์เข้าที่ช้าลง เช่น การนั่งหน้าเตาหรือกระทะร้อนๆ อาหารหมักดอง หรืออาหารรสจัด รวมไปถึงบุหรี่และแอลกอฮอล์ด้วย
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหนึ่งวิธีการแก้ปัญหาที่แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ลง ช่วยรักษาริ้วรอย ร่องลึกต่างๆที่เกิดขึ้นบนในหน้า นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถแก้ไขโครงสร้างใบหน้า ปรับรูปหน้าในจุดต่างๆได้ และฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยนั้นต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ สามารถสลายได้ 100% รวมไปถึงการเข้ารับการฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จึงจะมั่นใจได้ว่าจะไม่เสี่ยงอันตรายต่อผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์และมีความปลอดภัยสูง