รอยสิวมีกี่แบบ แต่ละแบบใช้วิธีรักษาที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
อีกหนึ่งปัญหากวนใจที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากเป็นสิว ซึ่งเป็นสิ่งเราจะต้องพบเจอนั่นก็คือ ‘รอยสิว’ ที่ทิ้งรอยไว้ให้รำคาญใจอยู่เสมอ บางครั้งก็ทิ้งรอยไว้นานจนรักษายาก ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวที่เกิดมาจากสิวอักเสบ แต่รู้หรือไม่ว่ารอยสิวเหล่านี้สามารถรักษาและป้องกันการเกิดได้อย่างง่ายดาย และในบทความนี้ เราได้รวบรวมวิธีการรักษารอยสิวแต่ละแบบ แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการป้องกันและรักษา ไปดูกันก่อนเลยดีกว่าว่าใช้รอยสิวเกิดจากอะไร รอยสิวมีกี่แบบ และแต่ละแบบใช้วิธีรักษาที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

สาเหตุของการเกิดรอยสิว
หลายคนอาจจะสงสัยว่า รอยสิวเกิดจากอะไร ซึ่งรอยสิวนั้นเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง ถ้าหากเป็นรอยหลุมสิวก็อาจจะเกิดจากอุดตันของรูขุมขนใต้ผิวหนัง ทำให้ร่างกายซ่อมแซมผิวหนังโดยทิ้งรอยต่างๆ นี้ไว้ แต่สาเหตุของการอักเสบของผิวหนังนั้น ส่วนมากแล้วมักจะเกิดจากพฤติกรรมที่ผิดๆ ของเรา ได้แก่
● การกดสิวหรือการบีบสิว ซึ่งถ้าหากบีบสิวอย่างผิดวิธี ก็จะทำให้ผิวเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงมากขึ้น ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว
● การแกะสิวโดยใช้มือที่ไม่สะอาด เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบและฉีกขาดได้ง่ายมากขึ้น
● อายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวของเรามีความสามารถในการผลัดเซลล์ผิวได้ช้าลง ทำให้รอยต่างๆ บนใบหน้าหายช้ากว่าปกติ
● ผิวขาดจุลินทรีย์ จึงทำให้ขาดความสมดุลในชั้นผิว ทำให้ผิวแห้งกร้าน เกิดรอยสิวได้ง่าย อีกทั้งยังยากต่อการรักษาอีกด้วย
● ผิวขาดคอลลาเจน เมื่อคอลลาเจนในชั้นผิวเริ่มลดลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น เมื่อเป็นสิวก็จะทำให้รอยต่างๆ เกิดขึ้นได้ชัดและรักษาให้หายช้า
รอยสิวมีกี่ประเภท มีวิธีการรักษาอย่างไร
โดยทั่วไปแล้วรอยสิวมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทหลักๆ โดยรอยสิวแต่ละแบบนั้นจะเกิดขึ้นจากระดับความรุนแรงของการอักเสบที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่
● รอยดำ
รอยดำ เป็นรอยสิวที่มีสีดำ น้ำตาลเข้ม หรือสีเทา มีสาเหตุมาจากการที่ชั้นผิวหนังแท้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง จนไปกระตุ้นให้ Melanocytes มีการผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากยิ่งขึ้น จึงส่งผลให้เกิดเป็นรอยสีดำซึ่งเม็ดสีที่เข้มข้นบริเวณผิวหนังที่เกิดการอักเสบ สำหรับรอยดำ สามารถรักษาให้หายขาดด้วยการทำหัตถการ Dual Yellow ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ใช้พลังงานแสงดูดซับเม็ดสีเมลานินใต้ชั้นผิวหนังให้จางลง ทำให้รอยดำค่อยๆ หายไป

● รอยแดง
รอยแดง จะเป็นรอยสีแดงจ้ำๆ ช้ำๆ บริเวณที่เกิดสิว โดยจะขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อสิวหายแล้ว โดยสาเหตุของการเกิดรอยแดงมาจากการที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังหลังการเกิดสิวนั้นอักเสบอย่างรุนแรง เมื่อสิวหายไป ร่างกายก็จะทำการซ่อมแซมผิวโดยการสร้างเส้นเลือดฝอยขึ้นมา ซึ่งรอยแดงเป็นรอยสิวที่สามารถทิ้งอยู่บนผิวหน้าไว้อย่างถาวรได้หากไม่ทำการรักษาอย่างถูกวิธี โดยวิธีการรักษารอยแดง สามารถรักษาให้หายขาดด้วยการทำหัตถการ Dual Yellow ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ใช้พลังงานแสงดูดซับ Oxyheamoglobin ที่เซลล์ผิว ทำให้รอยแดงค่อยๆ จางลง
● รอยหลุมสิว
รอยหลุมสิวหรือ Atrophic Scars เป็นรอยสิวที่ทิ้งไว้จนเกิดรอยแผลเป็น สาเหตุของการเกิดรอยสิวประเภทนี้จะเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมผิวหนังที่เกิดจากการอักเสบได้อย่างสมบูรณ์ เช่น สิวที่มีขนาดใหญ่ หรือสิวหัวช้าง ทำให้ผิวบริเวณนั้นเป็นแผลลึกที่รักษาได้ยาก โดยรอยหลุมสิวหรือ Atrophic Scars สามารถแบ่งออกได้อีก 4 ประเภทด้วยกัน คือ
- Rolling Scar หลุมสิวระดับทั่วไป
- Boxcar Scars หลุมสิวระดับปานกลาง
- Ice Pick Scars หลุมสิวที่มีระดับความรุนแรง
- Keloid Scars หลุมสิวที่เป็นแผลนูน
หากต้องการให้ผิวกลับมาเรียบเนียน โดยรอยหลุมสิวสามารถรักษาได้ด้วยการทำเลเซอร์ Picoway Laser ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ใช้ในการรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะ
การรักษารอยสิวแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร
จะเห็นได้เลยว่าการรักษารอยดำและรอยแดง จะใช้หัตถการ Dual Yellow ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสง โดยปล่อยพลังงานแสงออกมาดูดซับเม็ดสีเมลานินหรือ Oxyheamoglobin ที่เซลล์ผิว ทำให้รอยดำและรอยแดงค่อยๆ จางลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างจากการรักษารอยหลุมสิวที่ใช้หัตถการเลเซอร์ด้วยเครื่อง Picoway Laser เนื่องจากรอยหลุมสิวนั้นเป็นรอยสิวที่ทำลายชั้นผิวอย่างรุนแรง รักษาได้ยาก จึงต้องใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะ

วิธีการรักษารอยสิวด้วยตนเอง ด้วยวิธีทำธรรมชาติ
การรักษารอยสิวด้วยตนเอง เป็นการรักษารอยสิวเบื้องต้นที่เกิดขึ้นเป็นรอยใหม่ๆ หรือรอยดำและรอยแดง ไม่ใช่รอยที่ฝังลึก โดยสามารถใช้วิธีง่ายๆ ได้ ดังนี้
● ทายาลดรอยสิว
ยาลดรอยสิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซี, กรดซาลิไซลิก, เรตินอล, AHA, กรดอะซีลาอิก หรือกรกแลคติก เป็นตัวยาสำคัญที่มีคุณสมบัติในการลดรอยต่างๆ โดยการทาบริเวณที่มีรอยสิวบางๆ จะช่วยทำให้รอยดำและรอยแดงจางลงได้ ซึ่งระยะเวลาในการเห็นผลก็จะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของตัวยาที่ใช้ด้วยเช่นกัน

● สครับผิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว
การสครับผิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว จะเป็นการเร่งผลัดเซลล์ผิวให้กลับมาใสไวขึ้น อีกทั้งยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ บริเวณผิวชั้นนอกให้หลุดออกไปด้วย โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องมีส่วนผสมของ AHA, BHA ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วงเร่งผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยสิวที่คล้ำนั้นค่อยๆ จางลง แต่ข้อควรระวังคือ ควรสครับผิวหรือผลัดเซลล์ผิวแค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น เพราะอาจจะทำให้ผิวบางและเกิดสิวได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
● ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีบริสุทธิ์ จะมีคุณสมบัติในการเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวได้เป็นอย่างดี เพราะมีความเข้มข้นสูงมาก จึงสามารถนำมาใช้ในการรักษารอยดำและรอยแดงได้เช่นกัน โดยทาลงบนรอยสิวบางๆ เป็นประจำ จะสังเกตได้เลยว่ารอยสิวจะค่อยๆ จางลง แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา
● ทานวิตามิน/อาหารเสริม
การทานวิตามินหรืออาหารเสริมที่มีตัวยาสำคัญที่ช่วยในการลดรอยต่างๆ เช่น Zinc , วิตามินซี, วิตามินอี หรือคอลลาเจน ที่มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสใ ช่วยลดรอยต่างๆ ได้ดี ซึ่งการทานวิตามินหรืออาหารเสริมอาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนานกว่าวิธีอื่นๆ เพราะเป็นการบำรุงจากภายใน
การรักษารอยสิวด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์
ถึงแม้ว่าการรักษารอยสิวจะสามารถทายารักษาได้ด้วยตนเอง แต่ก็จะต้องอาศัยระยะเวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนานและอาจจะไม่สามารถหายไปได้อย่างถาวร ในปัจจุบันจึงได้มีเทคโนโลยีทางการแพทย์มากมายที่เข้ามาช่วยรักษารอยสิวแบบเร่งด่วน โดยการรักษารอยสิวด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีและมีการให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยมีอยู่ด้วยกันดังนี้
● Dual Yellow
Dual Yellow เป็นเครื่องเลเซอร์ที่ผสมผสานเลเซอร์ 2 ชนิด คือแสง สีเหลือง ที่มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 578 นาโนเมตร และแสงสีเขียว ความยาวคลื่น 511 นาโนเมตร ทั้งสองชนิดจะมีความสามารถในการกำจัด รอยแผลเป็น ฝ้า กระได้ดี และช่วยดูดซับ Melanin ได้ดี นอกจากจะช่วยรักษารอยสิวแบบเฉพาะจุดได้แล้ว ยังช่วยปรับให้ผิวหน้ามีความกระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทันทีหลังทำ

● Pico Laser
Pico Laser เป็นเครื่องเลเซอร์หลุมสิวโดยที่การออกแบบนั้นจะทำงานด้วยการปล่อยแสงพลังงานสูง ใช้ช่วงเวลาที่ในระดับวินาที ผลลัพธ์ที่ได้นั้นทำให้การจัดการเรื่องความผิดปกติของเม็ดสีผิวได้เป็นอย่างดี แนะนำสำหรับหลุมสิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย Pico Laser คือ หลุมสิวเกิดใหม่,หลุมสิวชนิด Rollind scar รวมทั้ง หลุมสิวแบบ Box scar
● Picoway Laser
Picoway Laser จะเป็นเครื่องเลเซอร์สำหรับรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะ ใช้ได้กับหลุมสิวทุกประเภท โดยการนำเครื่องนี้ไปรักษาหลุมสิวระดับความรุนแรงเบื้องต้นจนถึงระดับรุนแรงมากที่เราเรียกกันว่า Ice pick scar ก็สามารถรักษาได้ด้วย Picoway Laser
● เมโสหน้าใส (MESO)
การทำเมโสหน้าใส เป็นการฉีดสารบำรุงเข้าไปในชั้นผิวหนังโดยจะประกอบไปด้วยตัวยาสำคัญต่างๆ เช่น วิตามินอี กลูต้าไธโอน คอลลาเจน หรือวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยทำให้ผิวสว่างกระจ่างใส นอกจากจะทำให้รอยสิวจางลงแล้ว ยังทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นทันทีหลังทำอีกด้วย
● ฉีดมาเด้คอลาเจน (MADE Collagen)
มาเด้คอลาเจน มีเทคนิคการรักษาเหมือนการฉีดเมโสหน้าใส ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญ เช่น Hyaluronidase D8, Collagen D8, Placenta, Sulphur D12, แร่ธาตุเอนไซม์ ที่มีคุณสมบัติในการรักษาผิวหนังที่อักเสบ รวมไปถึงวิตามินต่างๆ ที่ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย
รอยสิวสามารถป้องกันได้หรือไม่
การป้องกันการเกิดรอยสิว สามารถทำได้ด้วยการไม่ทำพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว เช่น การบีบ กด แกะสิว เกาหรือถูแรงๆ เพราะจะเป็นการทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและเกิดรอยสิวได้ง่าย รวมไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว ปรึกษาแพทย์ด้านผิวหนังเกี่ยวกับการดูแลผิวอย่างถูกต้องเพื่อทำให้ผิวแข็งแรง เพราะถึงแม้จะไม่ใช่วิธีการที่สามารถป้องกันการเกิดรอยสิวได้ 100% แต่ก็จะทำให้ลดโอกาสในการเกิดหลุมสิวได้ดี
สรุป
รอยสิวที่เกิดจากการเป็นสิวอักเสบบนใบหน้า มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ซึ่งต่างก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละวิธีการรักษาก็จะให้ผลลัพธ์และระยะเวลาในการรักษาที่แตกต่างกันด้วย และเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันก็ได้มีแนวทางในการรักษารอยสิวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใครที่มีปัญหารอยสิวฝังลึก รอยดำ รอยแดง รอยหลุมสิว สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ในขั้นตอนต่อไป