นีjป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตของฉัน เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ โดยที่ฉันไม่ได้ประมาทอะไรเลย
เรื่องนี้เกิดขึ่นตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ของปีนี้ ฉันทำงานอยู่ต่างจังหวัด ส่วนเพื่อนทำงานอยู่กทม. เพื่อนพักร้อน บอกว่าจะมาหาฉันให้ฉันพาเที่ยว เพราะที่นี่มีทะเล และเพื่อนก็อยากมามาก
ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัดจึงใช้มอเตอร์ไซต์ ขับไป-มาเวลาที่ไปทำงาน และที่นี่ก็เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งทางด้านท่องเที่ยว ฉันทำงานอยู่บริษัททัวร์แห่งหนึ่งก็ทำงานวันละไม่ถึงแปดชม.ก็เสร็จแล้ว จึงมีเวลาว่างพาเพื่อนเที่ยวทุกวันแต่ต้องหลังจากที่ฉันเลิกงานแล้วเท่านั้น
วันที่เกิดอุบัติเหตุเพื่อนบอกว่าจะกลับแล้วพรุ่งนี้ เราก็เลยไปหาซื้อของกัน สักประมาณทุ่มกว่าๆ ฉันเป็นคนขับส่วนเพื่อนเป็นคนซ้อนท้าย ตอนแรกเราก็เถียงกันว้าใครจะเป็นคนขับดี แต่สุดท้ายฉันก็ถือซะว่าเป็นวันสุดท้ายแล้วที่เพื่อนจะอยู่เราเป็นเจ้าบ้านก็ต้องพาเพื่อนหน่อยก็แล้วกัน แล้วฉันก็สวมหมวกกันน๊อค และก็เสื้อเจ็กเก็ต ส่วนเพื่อนไม่ได้สวม
ฉันเพิ่งออกรถมาได้สักประมาณสามร้อยเมตรเห็นจะได้ ฉันยังอยู่ที่เกียร์สามอยู่เลย เราก็คุยกันถึงสถานที่ที่จะไปกันต่อโดยที่ฉันก็ตั้งใจขับเป็นอย่างดี แต่รถข้างหน้าว่างเปล่าไม่มีรถเลยซักคันเดียวในเลนที่ฉันขับไป เพราะรถที่ตามมาข้างหลังติดไฟแดงอยู่
ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกว่ามีรถกระบะคันสูงเบรคหมุนมาจากอีกฟากหนึ่งของถนน (ทางสวนกันน่ะ)
แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเบรคดังมาก มันมาเบรคและปาดด้านหน้าของฉัน สุดท้ายที่ฉันจำได้ก็แค่นี้หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เห็นอะไรอีกเลย แต่ได้ยินเสียงผู้คนวุ่นวาย รายล้อมไปหมด แต่มันมืดมาก
ฉันคิดว่าฉันกำลังฝัน แล้วสุดท้ายฉันก็หลับต่อ รู้สึกตัวอีกทีก็มีพยาบาลมาคอยถามอยู่ว่าฉันชื่ออะไรเป็นคนนั่งซ้อนท้ายหรือขับ แล้วก็ถามว่าติดต่อญาติ มีใครบ้าง ฉันยังคงนึกว่าฝันไป ฉันไม่รู้สึกเจ็บที่ไหนเลย จริง มันก็น่าจะเป็นความฝัน และแล้วฉันก็ให้พยาบาลกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทที่ฉันนึกได้
มาตอนนี้ฉันเริ่มร้องไห้เพราะรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ความฝัน มันเป็นความจริง ฉันรู้สึกเจ็บที่หน้าอก และที่เท้า ฉันกลับไปหมด ฉันมองดูเพื่อนข้างดูน่ากลัวมาก เธอมีเลือดอาบหน้าแล้วก็ไม่รู้สึกตัว ฉันเป็นห่วงเพื่อนมาก ในขณะเดียวกันพยาบาลก็บอกว่าฉันต้องไปเอกซ์เรย์ว่ามีกระดูกเป็นอย่างไรบ้าง ให้ตายซิฉันยังไม่ได้โดนทำอะไรเลย ยังไม่ทำแผล ฉันโดนนำตัวเข้าห้องผ่าตัดในเวลาต่อมาหลังจากที่เพื่อนของฉันมาถึง นี้เป็นโรงบาลเอกชนเค้าจะไม่ทำอะไรให้ฉันจนกว่าจะมีใครมาเซ็นต็รับรองค่ใช้จ่ายเค้าไม่ได้นึกถึงชีวิตคนไข้เลยนอกจากเงิน
ฉันอยากร้องไห้จริงๆเลย ฉันเข้าห้องผ่าตัดแล้วส่วนเพื่อนของฉันเค้าก็เพิ่งจะทำอะไรให้เหมือนกันหลังจากที่มีคนมาเซ็นรับรอง ตอนที่เข้าห้องผ่าตัดฉันไม่ได้สลบเค้าแค่ฉีดยาชาให้ฉันเท่านั้นเอง
ฉันร้องได้ตลอดเวลา น้ำตามีมากมายจนการผ่าตัดผ่านไป ฉันก็ยังคงร้องไห้อยู่อีก แล้วฉันกับเพื่อนก็โดนย้ายเข้ามาอยู่ห้องพักฟื้นห้องเดียวกัน เป็นห้องคู่ แต่ว่าเพื่อนของฉันยังไม่ฟื้นเลยตอนนี่ ฉันคิดถึงพ่อแม่ที่บ้านฉันมาทำงานต่างจังหวัดจึงไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ฉันไม่อยากจะโทรไปบอกท่านเพราะว่าคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากก็แค่ที่เท้าเท่านั้นฉันคิด
วันรุ่งขึ้นเพื่อนก็ยังไม่ฟื้นเลย พ่อของเพื่อนมาถึงแล้ว จนตอนบ่ายเพื่อนถึงฟื้น วันที่สามตอนสายๆหมอเข้ามาเยี่ยมอาการของฉัน แล้วก็บอกว่าเธอรู้แล้วเห็นแผลของตัวเองแล้วใช่ไหม ให้ตายซิ ฉันไม่เห็นเลยตอนที่พยาบาลมาล้างแผลฉันไม่กล้าดูหรอก แต่หมอบอกว่าเธอต้องเข้าผ่าตัดนิ้วและเท้าออกซีกนึงน่ะ เพราะว่า กระดูกแตกและเอ็นก็ขาดด้วย ปล่อยไว้มันก็จะเน่า ต้องตัดทิ้งอย่างเดียว
ฉันฟังแล้วฉันเกือบจะหยุดหายใจ ไม่ว่าใครต่อใครลองมาเป็นฉันแล้วได้ยินแบบนี้ด้วยแล้วแน่นอน เหมือนกัน ฉันเสียใจมากและก็ร้องไห้อย่างมากมาย ฉันโทรหาแม่แล้วก็บอกท่านทั้งน้ำตา
รุ่งเช้าพ่อแม่น้องของฉันก็มา หลังจากที่หมอไปแล้วฉันตัดสินใจที่จะผ่าตัด แต่แม่ของเพื่อนฉันที่ฉันอยู่บ้านเค้าด้วยนั้นไม่ยอม แม่บอกว่าจะย้ายโรงพยาบาล เปลี่ยนไปเป็นโรงพยาบาลศูนย์ราชการของจังหวัด แล้วฉันกับเพื่อนเราก็ได้อยู่กันคนละห้องแต่ตึกกศัลยกรรมกระดูกเหมือนกัน
รุ่งเช้าของอีกวันหมอที่นี่ถึงจะมาดู เป็นหมอผู้หญิง หมอบอกว่าเรายังไม่ต้องผ่าตัดแต่รอดูอาการว่าเสียหายมากแค่ไหน ฉันก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างเริ่มมีความหวังว่าคงไม่ต้องตัดนิ้วทิ้ง รวมทั้งเท้าด้วย
ส่วนเพื่อนต้องเข้ารับการผ่าตัดกรามเพราะว่ากรามหักและคอเคล็ดด้วย วันนั้นเพื่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อนโดนมัดปาก ดัดฟัน ทานได้เฉพาะอาหารที่เป็นน้ำ โดยใช้หลอดดูดน้ำเข้าทางร่องฟัน สงสารเพื่อนมาก แม้แต่เวลาที่พูด เขาก็อ้าปากไม่ได้กินก็กินแต่ที่เป็นน้ำทุกอย่าง และต้องรออีกหนึ่งเดือนจึงจะเอาออกได้
ส่วนฉันน่ะเหรอ ผ่านไปสิบวันหลังจากนั้น ฉันก็ต้องเข้าห้องผ่าตัดนิ้วเท้าทิ้งสองนิ้วเป็นนิ้วก้อยกับนิ้วนาง ฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก คนที่เคยมีแต่สุดท้ายมันก็จากไป ฉันเหลือนิ้วเท้าเพียงแค่แปดนิ้วทั้งที่เคยมีสิบนิ้ว แต่ยังดีที่ไม่ต้องตัดเท้าออกซีกนึงเหมือนที่โรงพยาบาลเอกชนนั้นเคยบอกฉัน
ฉันโดนฉีดยาชาอีกแล้วในห้องผ่าตัด แล้วสุดท้ายเค้าก็ต้องฉีดยานอนหลับให้ฉันเพราะว่าความดันฉันสูงมาก แล้วก็ฉันร้องไห้ตลอดเวลา ฉันนึกตลอดว่านอกห้องผ่าตัดมีคนคอยฉันอยู่มากมายล้วนเป็นคนที่รักฉันและฉันก็รักเค้าทุกคน ฉันเกือบจะหยุดหายใจไป แต่สุดท้ายฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว หมอสั่งไม่ให้ฉันลุกขึ้นจนกว่าจะถึงเจ็ดโมงเช้าของอีกวัน
คืนนั้นหลังจากที่ฉันกลับมาที่ห้องพักฟื้น ทุกคนเป็นห่วงฉันและพยายามชวนฉันคุยแล้วก็ให้ฉันทานข้าว อ้อลืมบอกไปว่าตอนนี้ฉันเริ่มคบกับผู้ชายคนหนึ่งเราคบกันได้สองเดือนกว่าแล้วเค้าบอกว่าเค้าจริงใจกับฉัน ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเค้าเลย อยากคบกันไปดูก่อน
คืนนั้นหลังจากที่ฉันเข้าห้องผ่าตัดกลับมาที่ห้องเขาก็ขอตัวกลับไปเพราะว่าดึกมากแล้วและก็ต้องทำงานด้วยในวันรุ่งขึ้น ฉันคิดว่าเค้าคงรับไม่ได้กับที่ฉันเป็นคนพิการ ฉันเลยโทรไปบอกเค้าว่าต่อไปก็ไม่ต้องมาหาฉันอีกนะ ฉันบอกเค้าทั้งน้ำตา น่าแปลกทำไมก็ไม่รู้ทั้งที่ฉันไม่ได้รักเค้าน่ะ ฉันบอกเค้า แล้วเค้ากลับตอบกลับมาว่าให้ฉันนอนได้แล้วพรุ่งนี้ตอนย็นจะมาหา อย่าคิดอะไรมากทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาลเค้ามาดูแลฉันเกือบทุกวัน วันไหนที่เค้าไม่มาฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรขาดหายไปจริงๆน่ะ ฉันอยู่โรงพยาบาลครบหนึ่งเดือนพอดี เพื่อนของฉันอยู่แค่ยี่สิบวันก็กลับบ้านไปแล้วเหลือแต่ฉัน แต่เพื่อนก็โทรมาหาฉันบ่อย
ฉันออกจากโรงพยาบาล แล้วก็ต้องกลับไปรักษาต่อที่บ้านอีกหนึ่งเดือนฉันต้องไปล้างแผลทุกวันแล้วก็ต้องมาหาหมอตามที่หมอนัดแรกหมอนัดสองครั้งต่อเดือนแล้วก็เดือนละครั้ง จนถึงตอนนี้ ก็ยังต้องเป็นเช่นนั้น ส่วนคู่กรณีของฉัน จ่ายแค่ค่าห้องพิเศษ เท่านั้นส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลก็เรื่องพรบ.รถ แล้วก็บัตรสามสิบบาท ตอนนั้นฉันยังไม่ได้รับสิทธิ์ประกันสังคมเพราะว่าเพิ่งจะทำงานได้สองเดือน
คนที่ขับรถชนฉันกับเพื่อน นบอกว่าถ้าหากว่าฉันกับเพื่อนเรียกร้องอะไรมากมายก็ไปฟ้องร้องดำเนินคดีขึ้นศาลเอาเอง ฉันกับเพื่อนเราไม่อยากเรื่องมาก กลังเรื่องมันจะยุ่งยาก ก็เลยปล่อยเลยตามเลย เพื่อนของฉันตอนนี้ก็เอาเหล็กดัดฟันออกแล้ว แต่ก็ยังต้องดามกรามเอาไว้ เพื่อนฉันบอกว่าอ้าปากได้ไม่เหมือนเดิม แค่เอาช้อนเข้าได้เท่านั้นเอง
ส่วนฉันตอนนี้ยังต้องรักษาแผลอยู่อีก หมอบอกว่าอีกประมาณหนึ่งเดือนแผลของฉันจึงจะหายดี
ลืมบอกไปว่าฉันได้เงินจากการที่ต้องสูญเสียอวัยวะจากพรบ.สามหมื่นบาท ส่วนนอกจากนี้ก็ไม่มีแล้ว
เพื่อนของฉันก็เหมือนกัน ฉันยังคงต้องรักษาตัวเองเดินไม่ได้หนึ่งเดือน ขาไม่เท่ากัน ไม่ได้ทำงานสองเดือน แต่ดีทีทำงานให้ฉันกลับไปทำงานได้เหมือนเดิม ส่วนเพื่อนของฉันต้องไปหางานใหม่ทำ
อยากให้ทุกคนรู้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้ว่าเราจะไม่ประมาท แต่มันมีคนประมาทมาชนเราอีกนั่นแหละ ฉันขยาดกับการขับมอเตอร์ไซด์เลย รถของฉันเพิ่งจะซื้อมาได้ครบเดือนพอดี ที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนหัวพังหมดเลย ตัองซ่อมอีกเป็นหมื่น รถคู่กรณีก็เหมือนกัน ประตูพังทั้งบาน แต่ไม่เจ็บตรงไหนเลย ซักวันกรรมคงจะตามสนองเขาเอง
ฉันกับเพื่อนคิดเพื่อปลงตกกับชีวิต ขอบอกว่าตอนที่เราอยู่โรงพยาบาลคู่กรณีมาเยี่ยมเราแค่เพืยงครั้งเดียว อยากให้ทุกคนได้อ่านบทความนี้นค่ะแล้วก็ดูเป็นตัวอย่างว่าอวัยะทุกส่วนมีค่าเท่าๆกันหมดแม้แต่นิ้วก้อย นิ้วนางที่เป็นนิ้วเท้า แล้วถ้ามีคนเอาเงินสามหมื่นมาให้แลกกับมันคุณจะรู้สึกอย่างไร จะยอมมั๊ย แต่สำหรับฉันฉันยอมเสียเงินดีกว่าเพราะว่ามันสามารถหามาใหม่ได้แต่อวัยะถึงหาใหม่ได้ก็ไม่ใช่ของเรา
**เป็นบทความที่ส่งมาจากทางบ้านค่ะ อย่างไรก็ขอบคุณเจ้าของบทความนะคะ แม้จะไม่ได้ใส่อีเมล์ให้เราติดต่อกลับ แต่ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
** ภาพจากอินเตอร์เนตไม่เกี่ยข้องกับบทความนะจ๊ะ