มะเร็งมาเยือนเพราะผิวสีแทน




          ผิวฉันสีขาวซีดไม่น่ามอง เพื่อนๆมักจะแนะนำว่าฉันดูสุขภาพดีขึ้นถ้ามีผิวสีแทน ตอนอยู่เกรด 8 (ม.2) ฉันเบื่อเหลือจะอดเมื่อโดนเพื่อนล้อว่าตัวซีดเผือดอย่างกับผี แต่บ้านฉันอยู่ในรัฐไอโอวา (รัฐหนึ่งทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา) หนทางที่จะมีผิวสีเข้มขึ้นช่างมีน้อยนิด ใช่ว่าจะไปอาบแดดที่ชายหาดทุกวันได้เสียเมื่อไหร่ ก็รัฐที่ฉันอยู่นี่ติดทะเลซะที่ไหนกัน

          ในปีที่อยู่เกรด 8 นั้นเอง โรงเรียนจัดงานแสดงบนเวทีขึ้นซึ่งฉันต้องใส่ชุดสั้นๆโชว์ขา เลยคิดว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าขาฉันเป็นสีแทน เลยไปซื้อครีมผิวแทนมาทา แต่นั่นเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ ความที่ไม่กล้าทาครีมบนหน้าหรือแขน แล้วก็กลัวว่าขาจะดูกระด่างกระดำฉันเลยโหมทาขาไม่ยั้ง ผลที่ได้คือขากลายเป็นสีส้มๆในขณะที่ส่วนอื่นๆขาวจั๊วอย่างกับสีเสื้อยืด วินาทีนั้น ฉันตัดสินใจว่าถ้าจะมีผิวสีแทน ก็ต้องเป็นสีแทนแบบผิวธรรมชาติเท่านั้น

           ผิวที่ดู "สุขภาพดี" แม่เลี้ยงของฉันเข้าคอร์สทำผิวสีแทนตามสถานเสริมความงามอยู่บ่อยๆ พอขึ้นเกรด 10 (ม.4) ฉันก็เริ่มคิดจะไปเข้าคอร์สแบบนั้นบ้าง แม่แท้ๆได้แต่เตือนว่าไม่น่าจะปลอดภัย แต่ฉันไม่สนใจ หาว่าแม่คิดมากเกินไป

          ในเดือนมกราคมปีนั้นเอง โรงเรียนแจกสมุดคูปองส่วนลดบริการและสินค้าต่างๆเพื่อให้นักเรียนเตรียมตัวสนุกกับงานประจำปีของโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ หนึ่งในนั้นเป็นคูปองเข้าคอร์สทำผิวสีแทนฟรี 100 นาที ฉันตรงดิ่งไปที่ร้านนั้นทันทีเพื่อบ่มผิวสีแทน ครั้งแรกเริ่มอบผิวไป 10 นาที ฉันใช้ครีมกันแดด SPF8 ซึ่งไม่พอที่จะปกป้องผิวจากรังสีที่แรงพอๆกับแสงอาทิตย์ได้ ครึ่งชั่วโมงต่อมาผิวก็คันยิบๆแล้วก็แห้งมาก ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะไม่เคยโดนแสงแดงแรงๆ ก็เลยแค่โปะบอดี้โลชั่นบรรเทาอาการ

          ฉันใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ทำผิวสีแทนด้วยคูปอง ถึงฉันจะชอบผิวสีแทนที่เพิ่งได้มาแต่ก็ไม่ได้เข้าร้านเสริมสวยบ่อยนัก จนกระทั่งปลายเทอมของเกรด 11 (ม.5) ช่วงนั้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอุ่นขึ้น แต่ฉันไม่เคยออกไปว่ายน้ำกับเพื่อนๆเลยทั้งที่อากาศดีแบบนี้ เพราะมัวแต่ห่วงว่าจะดูตลกถ้าใส่ชุดว่ายน้ำ พลางคิดว่าหากมีผิวสีแทน ฉันคงมั่นใจมากกว่านี้

          ช่วงปลายปีนั้น ฉันเข้าคอร์สเสริมสวยทำผิวสีแทนสัปดาห์ละ 2-4 ครั้ง และพอใจกับมันมาก โชคดีที่ฉันไม่ต้องเสียเงินมากกับการทำให้ผิวแทนคงอยู่ได้นานๆทางร้านมีช่วงโปรโมชั่น "วันอังคาร 2 ดอลลาร์" กับ "วันพฤหัสบดี 3 ดอลลาร์" ฉันจีงเสียเงินแค่ 5 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ในการอบผิวเป็นสีแทนนาน 20 นาที แม่เตือนด้วยความห่วงใยว่า เดี๋ยวจะเป็นมะเร็งนะ แต่ฉันไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าฉันยังเด็ก เรื่องแบบนั้นคงไม่เกิดขึ้นหรอก

          ผลที่ได้คุ้มค่ากับความพยายาม สีผิวฉันดูเข้มขึ้น เพื่อนๆต่างชื่นชมกับลุคใหม่นี้ เพื่อนผู้ชายบางคนยังบอกว่า "เธอไปทำผิวสีแทนมาเหรอ ดูสุขภาพดีขึ้นเยอะเลยนะ" ฉันรู้สึกดีมาก แต่ก็เริ่มสังเกตว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป
          ไฝของฉันเริ่มเปลี่ยนสี!!!

          ฉันมีไฝเยอะตามส่วนต่างๆของร่างกายมาตั้งนานแล้ว ตอนอยู่เกรด 4 (ป.4) แม่พาไปจี้ออก 5 จุด มันง่ายมากแล้วก็ไม่มีอันตรายอะไร ช่วงเรียนไฮสกูลปีสุดท้ายตอนที่ไฝบนหน้าท้องเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ฉันไม่ได้กังวลใจอะไร แล้วก็ไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย ยังคิดอยู่เลยว่าครั้งหน้าถ้าไปหาหมอจะให้หมอจี้ไฝออกให้ ไม่ทันคิดว่าการทำผิวสีแทนเป็นผลให้สีของไฝเปลี่ยน ฉันก็เลยยังเข้าคอร์สเสริมสวยนั้นต่อไป
          และแล้วความจริงก็ปรากฎเมื่อฉันเป็นไข้หวัด ฉันไปหาหมอและชี้ให้หมอดูไฝ ตอนนั้นไฝขยายใหญ่ขึ้น ขนาดเท่ากับยางลบปลายดินสอและมีสีชมพูจัด ในระหว่างที่คุณหมอตรวจ เธอก็เจอไฝตรงหลังที่ฉันไม่เคยสังเกตเห็นอีกสองเม็ด ไฝเหล่านั้นมีสีอ่อนกว่าไฝบริเวณอื่นและขอบก็ไม่เรียบด้วย หมอบอกว่าต้องกำจัดออกโดยทันที

          แม่เล่าให้หมอฟังว่าฉันไปทำผิวสีแทนที่ร้านเสริมสวยมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หมอเตือนว่าอย่าทำแบบนั้นเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไฝเริ่มเปลี่ยนสี "เตียงบ่มผิวจะเร่งให้เกิดมะเร็งได้" แนได้ยินคำเตือนแบบนี้จากแม่นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เลยพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ "หนูรู้ค่ะ หนูรู้" และรับปากจะเลิกทำสักพัก แต่ฉันก็ยังไม่ใส่ใจกับคำเตือน

          ปลายเดือนมิถุนายนที่แล้ว ฉันไปหาหมอผิวหนังกับแม่เพื่อจี้ไฝออก หมอฉีดยาชาให้แล้วก็เริ่มผ่าตัดเอาไฝที่มีรูปร่างคล้ายดวงตาออกก่อน จากนั้นทำแบบเดิมที่ไฝที่หลัง ออกจะเป็นประสบการณ์สั่นประสาทสักหน่อย แต่ฉันดีใจที่การผ่าตัดกินเวลาเพียงชั่วโมงเดียว หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันคิดว่า เห็นไหม ไม่มีอะไรสักหน่อย แล้วก็กลับไปอบผิวอีกครั้ง ทั้งๆที่สัญญากับหมอไว้แล้วจะไม่ทำอีก

           ฉันเนี่ยนะเป็นมะเร็ง สองสัปดาห์ต่อมา ฉันได้รับจดหมายจากหมอผิวหนัง ผลการตรวจสอบบ่งชี้ว่าไฝที่หลังของฉันเป็นเนื้องอกธรรมดา แต่ที่อยู่ตรงหน้าท้องเป็นเนื้อร้าย ใจฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อรู้ว่ามันหมายถึงมะเร็ง แต่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับฉันนี่นา ฉันยังรู้สึกปกติดี แล้วไฝพวกนั้นก็ถูกกำจัดหมดแล้ว ฉันคิดไปเองว่าทุกอย่างปกติดี
          แม่ตกใจมากหลังจากที่คุยกับหมอผิวหนังทางโทรศัพท์ "เนื้อร้ายสามารถแพร่กระจายได้" แม่บอก "แล้วลูกอาจจะตายได้ถ้ากำจัดเนื้อร้ายพวกนั้นไม่ทันเวลา" ฉันตื่นกลัวสุดขีด อะไรจะเกิดขึ้นถ้าไฝทุกจุดบนเนื้อตัวฉันคือมะเร็ง หมอจะเอามันออกทันได้ยังไง ในขณะเดียวกันก็หวั่นกลัวว่าจะเกิดแผลเป็น กลัวมากกว่าเรื่องที่ฉันกำลังจะตายเสียอีก
          หนึ่งเดือนต่อมา ฉันกลับไปหาหมอผิวหนังอีกครั้ง หมอตรวจดูบริเวณที่พบเนื้อร้ายแล้วก็เจอไฝอีกแห่งใต้หน้าอกฉัน หลังจากที่หมอประจำตัวปรึกษากับหมออีกคนแล้ว เธอบอกว่าทีมหมอต้องเลาะผิวหนังบริเวณที่เจอเนื้อร้ายเพื่อให้แน่ใจว่ากำจัดมะเร็งหมดแล้ว ไฝใต้หน้าอกก็ต้องเอาออกด้วย หมอใช้ปากกามาร์กเกอร์ขีดบริเวณที่ต้องผ่าตัด ซึ่งกินพื้นที่ประมาร 2x6 นิ้ว หมอให้ความมั่นใจว่าสามารถจัดการกับมะเร็งทั้งหมดได้ ก่อนที่มันจะแพร่กระจายไปทั่ว ฉันจึงรู้ว่าตัวเองยังโชคดีอยู่

           ใต้คมมีดหมอ สองสัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด ฉันร้องไห้อย่างหนักเมื่อคิดถึงรอยแผลเป็นที่จะเกิดบนหน้าท้อง ฉันทำผิวสีแทนเพื่อจะใส่บิกินี่ได้สวยๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถใส่มันได้แล้วอีกตลอดชีวิต ออกจะฟังดูงี่เง่าแต่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดในตอนนั้นจริงๆ บางทีนั่นอาจจะเป็นวิธีคิดที่ช่วยบดบังความกลัวที่ท่วมท้นขึ้นมาก็ได้
          ระหว่างผ่าตัดฉันจำอะไรไม่ได้มากนัก ไม่รู้สึกเจ็บเพราะหมอวางยาสลบ หลังออกจากห้องผ่าตัดแม่ยื่นแผ่นพับข้อมูลเรื่องอันตรายจากเตียงทำผิวสีแทนให้ดู ฉันกรอกตาด้วยความเบื่อ แต่ก็รู้ว่าแม่พูดถูก ฉันเอาตัวเองไปเสี่ยงกับมะเร็งทั้งที่แม่เตือนมาตลอด
          หมอตัดไหมให้ในอีกสัปดาห์ต่อมา และหลังจากตรวจผลผ่าตัด หมอก็บอกว่ามะเร็งถูกกำจัดหมดสิ้น ฉันโล่งอก แต่ต่อจากนี้ฉันต้องดูแลตัวเองอยางดี ตอนนี้ถ้าจะออกนอกบ้าน ฉันจะทาครีมกันแดด SPF 45 และต้องไปตรวจร่างกายทุกๆ 3 เดือน ทุกครั้งที่ไปหาหมอ ฉันรู้ว่ามีโอกาสที่มะเร็งจะหวนกลับมาได้ทุกเมื่อ
          เพื่อนๆยังคงฮิตผิวสีแทนกันอยู่ ฉันอิจฉาผิวที่ดู "สุขภาพดี" ของพวกเขา แต่เป็นห่วงเพื่อนมากกวา พยายามเตือนเพื่อนด้วยคำพูดแบบเดียวกับที่แม่เคยเตือน แต่เพื่อนๆก็ไม่ฟังและไม่คิดว่ามะเร็งสามารถเกิดขึ้นกับพวกเขาเมื่อไรก็ได้
          แต่นั่นแหละ ฉันก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน!!


ร้านเสริมสวยในต่างประเทศจะมีบริการทำผิวสีแทนด้วยเครื่อง เครื่องนี้มีลักษณะคล้ายเตียง เรียกกันทั่วไปว่า Tanning Bed (เตียงทำผิวสีแทน) เครื่องนี้จะปล่อยแสงอัลตร้าไวโอเลต (UV) ทำให้ผิวเป็นสีแทนเหมือนโดนแดด แต่แสง UV จากเครื่องชนิดนี้เป็นชนิดคลื่นยาวที่เรียกว่า UVA ซึ่งจะไม่ทำให้ผิวแสบร้อนเหมือน UVB ที่เป็นคลื่นสั้นอย่างที่มีในแสงอาทิตย์ แต่ตัว UVA นี้จะทำลายผิวชั้นในและทำให้ผิวเสียโดยถาวรได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานพบว่าเตียงเสริมความงามนี้ให้แสง UV มากกว่าแสงอาทิตย์ถึง 2 เท่า

Tag :




แสดงความคิดเห็น






Pooyingnaka Wellness


Advertisement