ประวัติ เรน (Rain)


มาทำความรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขากันสักนิด กว่าจะเป็นนักร้องดังในวันนี้ !!

ชองจีฮุน มีชื่อที่ใช้ในการแสดงว่า พี(Bi) ซึ่งในภาษาเกาหลีแปลว่า "ฝน" ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันในนามนักร้อง นักเต้นว่า เรน(Rain)

เรนมีความสามารถโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นบทบาทนักร้อง ซึ่งได้รับรางวัลทุกอัลบั้มแล้ว บทบาทแสดงนำจากซีรีส์เรื่องดัง Full House ที่ออกอากาศในบ้านเราเมื่อปีที่แล้ว จนดังเป็นพลุแตกไปทั่วเอเชีย

 เรนเกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1982 สูง 184 cm. น้ำหนัก 74 kg. เลือดกรุ๊ป O ครอบครัวมีพ่อและน้องสาว 1 คน

คงไม่ต้องสาธยายกันมาก สำหรับประวัติของหนุ่มฮอตคนนี้

เพียงลีลาการเต้นที่เร้าใจกับรูปร่าง สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบพร้อมโชว์ให้คนดูหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับการแสดงได้ สิ่งเหล่านี้คงไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญที่ผลักดันให้หนุ่มเรนโด่งดังสุดๆได้มายืนแถวหน้าของเอเชียเท่านั้น ความคิดและวิธีการฝึกปฏิบัติบนเส้นทางชีวิตกว่าจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาล้วนยากลำบาก แต่ความมานะอดทนและพยายามทำให้เขาได้มีวันนี้ เป็นรางวัลตอบแทนการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต ทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยวัยเพียง 24 ปี

ความโด่งดังของเขาไม่ได้หยุดอยู่ในประเทศเกาหลีใต้บ้านเกิดเท่านั้น เรนยังเป็นนักร้องเอเชียที่ไปเปิดคอนเสิร์ตไกลถึงฝั่งอเมริกา นับเป็นก้าวย่างที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง

 เรนได้เขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา ในปี 2002 หลังจากที่ออกอัลบั้มชุดแรก เป็นเรื่องราวใน วัยเด็ก, วัยเรียน, ความหลงไหลในการเต้น, การเข้าสู่วงการครั้งแรกกับ JYP และความรักที่มีต่อแม่ของเขา

(1) วัยเด็ก
ผมยังไม่อยากจะเชื่อว่า ตอนนี้ผมได้เป็นนักร้องแล้ว บางครั้งเมื่อผมนั่งอยู่ท่ามกลางกองแผ่น CD ผลงานของตัวเอง ขณะที่เรากำลังจัดเตรียมการกับมันอยู่ ผมรู้สึกหัวใจพองโต มันช่างเป็นความสุขจริงๆ ที่คนฟังและรู้สึกชื่นชอบกับการที่ผมเต้นในสไตล์ของตัวเอง หลังจากเต้นและร้องเพลงของ Seotaeji and Boys and Deux ความฝันของผมกลายเป็นจริง

"ผมได้เป็นนักร้องแล้ว"

เมื่อตอนเด็กผมอาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยฮงอิก แม่ของผมเพิ่งจากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และในตอนนั้นผมอยู่กับพ่อและน้องสาวซึ่งอ่อนกว่าผม 3 ปี (ผมเกิดในปี 1982 ชื่อจริงของผม คือ ชองจีฮุน) ความที่เป็นคนไม่ช่างพูด วันหนึ่งพูดกันแค่สองสามประโยคเท่านั้น

ผมเคยออกไปข้างนอกโดยไม่บอกใครๆ ตอนนั้นผมยังเด็ก เป็นเหตุการณ์ที่ผมจำได้ลางๆ ผมออกจากบ้านไปเมื่อตอนประมาณ 4 ขวบ ญาติของผมมักจะมาทำงานที่บ้าน แต่ในวันนั้นพวกเขาไม่พบผม พวกเขาโทรหาตำรวจที่สี่แยก แต่ไม่มีใครรู้เรื่องของผม ทุกคนวิตกมาก แต่หายังไงก็ไม่พบ

วันหนึ่งญาติโทรมาบอกว่าพบผมที่ สถานีรถประจำทางรถกังวาโด แถวบ้านที่เราอยู่ ผมคิดว่าผมคงจะขึ้นรถจากที่นี่ไป ที่กังวาโด พวกเขาเห็นหมายเลขติดต่อบนสายรัดข้อมือผมและโทรเรียกครอบครัวของผมให้มารับ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน จำได้ลางๆ ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่วยผมขึ้นรถ

(2) เริ่มค้นพบตัวเอง
ผมเป็นคนเคร่งขรึมตั้งแต่ตอนเด็กๆ อย่างไรตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น มันเป็นการยากมากที่ผมจะเป็นฝ่ายจะเริ่มต้นคบกับใคร แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมพูดและทำได้ดีมากจนตัวเองรู้สึกประหลาดใจ

เมื่อตอนอยู่ชั้นประถมผมเรียนไม่ค่อยเก่ง ความที่ไม่ค่อยพูดจากับใคร ผมก็เลยไม่มีแฟน ไม่มีใครมาสนใจหรือสังเกต เพื่อนๆในชั้นเรียนถ้าจะมีใครสังเกตเกี่ยวกับตัวผมก็คงจะเป็นความสูง เพราะผมมักจะยืนเป็นที่ 3 หรือที่ 4 ของคนที่สูงที่สุดในชั้น

ผมมักจะนั่งเงียบเสมอเมื่ออยู่ในชั้นเรียน แต่มีอยู่วันหนึ่งผมลุกขึ้นมาแสดงความสามารถเป็นตัวแทนของชั้นเพื่อเข้าแข่งขันของแต่ละโรงเรียนเมื่อตอนเรียนอยู่เกรด 6 และในชั้นของเราไม่มีคนสมัครเข้าแข่งขันเลย

ผมรู้สึกกระวนกระวายใจเลยบอกพวกเขาว่าผมจะเป็นตัวแทนในการเข้าแข่งขัน แต่คำตอบของเพื่อนๆ ในชั้นที่เห็นด้วยก็มีไม่มากนัก ผมได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผม จากนั้นผมก็ถามว่า "ทำไมพวกเขาถึงไม่แสดงแทนผมล่ะ"

ในที่สุดผมก็ได้กลับมาเป็นตัวแทนของชั้นเรียนด้วยความภาคภูมิใจ พวกเพื่อนๆ พากันมองมาที่ผม เมื่อดนตรีเริ่มขึ้น ผมบอกกับตัวเองว่าจะโชว์การเต้นเหมือนอย่างที่เห็นในทีวีหรือตามท้องถนน หัวสมองในขณะนั้นไม่คิดอะไรทั้งสิ้น นอกจากสองสิ่งนี้เท่านั้น

เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อการแสดงจบลง ผมรู้สึกถึงความสำเร็จเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วความคิดที่เกิดขึ้นในใจตอนนั้น มันบอกผมว่า "ใช่เลย มันคือการเต้นนั่นเอง!"

(3) ความเศร้าทำร้ายตัวเองให้ตกต่ำ
   ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนซุงมุน ในขณะที่ใจผมร่ำร้องอยากจะเต้น คนอื่นๆเล่าว่า ผมเป็นนักเรียนที่เกเร ไม่สนใจอะไร นอกจากการเต้น ผมชอบโดดเรียนไปกับรุ่นพี่ และไม่ใส่ใจการเรียนแม้ว่าเขาจะเอาเงินและเสื้อผ้าของผมไป เหตุผลเดียวที่ผมยอมพวกเขาเพียงเพื่อต้องการที่จะเรียนรู้ในการเต้นเท่านั้น

   ครั้งหนึ่งเราถูกตำรวจจับไปที่โรงพัก ขณะนั้นเรากำลังฝึกซ้อมเต้นที่สวนสาธารณะใกล้กับมหาวิทยาลัยฮงอิก เพราะว่าเราไม่มีสถานที่จะฝึกซ้อม คนที่ผ่านมาแถวนั้น ต่างก็เห็นและพูดถึงนักเรียนเกเรที่โดดเรียน ตอนนั้นผมโกหกพ่อว่าผมไปห้องสมุด แต่จริงๆ แล้วผมไม่สนใจการเรียนเลย เพราะผมเต้นจนไม่มีเวลาจะเรียน ทำให้การเรียนแย่ลงไปเรื่อยๆ

   ผลการสอบในเทอมแรกผมสอบได้ที่ 45

(4) "จะไม่ทำเลว" คำสัญญาที่ให้กับพ่อ
   ถึงผมจะยังคบหากับพวกเด็กเกเรเพื่อที่จะเรียนรู้ในการเต้น แต่ผมก็ให้สัญญากับพ่อว่าผมจะไม่สูบบุหรี่หรือยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด

   ทีมเต้นของเราฝึกหนักและเข้าแข่งขันโดยไม่หวังรางวัล ทั้งที่ ลอตเต้ เวิลด์, จัมซิล และโซล ยืนยันความสามารถของเราได้เป็นอย่างดี ผมจำไม่ได้ว่าปีไหน เพียงอินบงเป็นตัวตลกในการแข่งขัน MC ชื่อทีมของเราคือ Challenger ผมเข้าแข่งขันกัน 4 คน ผมยืนอยู่ตรงกลาง เพราะตัวสูง

   เราไม่ได้รับรางวัล รู้จากเพียงอินบงในภายหลังที่ผมเป็นนักร้องที่กังทาแล้ว ว่ามีนักร้องเข้าแข่งขันด้วย ผมเริ่มสนใจกีฬารักบี้ เมื่อตอนผมเรียนอยู่เกรด 12 ส่วนใหญ่พวกที่อยู่ชมรมรักบี้จะดูดีมากๆ ผมฝึกรักบี้กับโรงเรียนใกล้ๆ แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่สามารถทำทั้งสองอย่างให้ดีได้ ผมจึงเลือกที่จะเต้น

   ในที่สุดปีสุดท้ายของชีวิตมัธยมต้นก็มาถึง ผมเริ่มวิตกกังวลกับอนาคตของตัวเอง เพื่อนๆพากันไปห้องสมุด มีแต่ผมคนเดียวที่ทั้งเรียนทั้งเต้นในเวลาเดียวกัน ผมตัดสินใจมาเรียนการแสดง ผมไม่สนใจสาขาอื่น ผมต้องการเป็นนักแสดง ผมดูละครและจำมาฝึกซ้อมด้วยตัวเอง

(5) สอบเข้าโรงเรียนศิลปอันยางได้ด้วยความภาคภูมิใจ
   เริ่มจากที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการแสดง ผมไปที่ร้านหนังสือ ซื้อทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแสดง และอ่านมันทั้งหมดก่อนจะสอบเข้าที่โรงเรียนศิลปะอันยาง ผมต้องการแสดงความสามารถพิเศษในการเต้น ผมตัดสินใจเลือกเล่นละครใบ้ เพื่อให้ส่วนต่างๆของร่างกายบอกเล่าเรื่องราวซึ่งคนอื่นๆไม่ค่อยเห็นด้วย เขาพูดกันว่าการแสดงไม่ใช่ตัวตนของผม แต่ผมก็ฝึกซ้อมอย่างหนักและสอบผ่านเข้ามาได้ด้วยความภาคภูมิใจ

   แต่เมื่อการแสดงกลายมาเป็นการเรียน มันกลับไม่น่าสนุกอีกต่อไป และมันก็ไม่เหมาะกับผมด้วย ในช่วงปีแรกที่เป็นน้องใหม่ ผมต้องเรียนการแสดงและหยุดพักการเต้น ส่วนคนอื่นๆที่รู้จักผม ให้ผมได้เป็นตัวแทนเข้าแข่งขันการแสดงต่างๆ พวกผู้หญิงพากันชื่นชอบในตัวผม

   ทุกๆเช้าตอนผมไปโรงเรียน พอเปิดล็อคเกอร์จะมีของขวัญจากใครๆที่ผมก็ไม่รู้ ของขวัญส่วนมากจะเป็น นม ขนมเค้ก ดอกไม้และจดหมาย ผมรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้สานต่อความรู้สึกดีๆเหล่านั้น เพราะผมไม่มีเวลาเลย ผมเอาแต่ซ้อมเต้น ผมไม่เคยมีเวลาจะคิดเรื่องแฟน โดยเฉพาะช่วงปีแรกในฐานะน้องใหม่ ซึ่งผมพยายามเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองเรียนให้จบในด้านการแสดง

   แต่ในระหว่างนั้นก่อนจบผมเริ่มเกลียดการแสดงในชั้นเรียนมาก ผมไม่สนใจเรียนและรู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว ช่วงนั้นผมไปโรงเรียนสายบ่อยมาก ผมจะไปเพียงร่วมประชุมในช่วงเช้าเท่านั้น และพลาดการฝึกซ้อมในชั้นเรียน

   ช่วงนั้นผมมัวแต่หมกมุ่นในการฝึกเต้น และถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กเลว

(6) โดนครูตี
   ตอนนี้ผมอยากจะเล่าถึงครูของผม เมื่อตอนที่ผมเรียนที่โรงเรียนศิลปอันยาง ผมทะเลาะกับครูเพราะเรื่องเต้น ผมหมกมุ่นกับการเต้นมากจนไม่เข้าร่วมประชุมทีมการแสดง นักเรียนรุ่นพี่เริ่มเกลียดผม พวกเขามาพบผมหลังโรงเรียนและรุมด่าว่าผม ผมไม่อยากถูกไล่ออกจากกลุ่ม ก็เลยตัดสินใจหันมามุ่งด้านการแสดงมากกว่าเต้น แต่มันก็ไม่ทำให้ผมเลิกล้มความอยากเต้นได้เลย

   วันหนึ่งอยู่ๆ ผมก็ลุกขึ้น แล้ววิ่งออกไปนอกห้องเรียน ในวันถัดมาครูที่สอนผมเข้ามาตำหนิอย่างรุนแรง แล้วบอกให้ผมตีเขาไม่เช่นนั้นเขาจะตีคนอื่นๆด้วย ในหัวผมตอนนั้นความคิดขัดแย้งสับสนวุ่นวายมาก มีแต่พวกผู้หญิงในชั้นเท่านั้นที่ยังรู้สึกดีกับผม ในตอนนั้นผมคิดจะตอบโต้ครูจริงๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น

   ก่อนเราจะจบการศึกษา เมื่อครูได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดว่าผมจะเกลียดเขาจริงๆ เขาชอบใช้วิธีแบบเดียวกันนี้กับคนอื่นๆที่โรงเรียน มันเป็นวิธีหลอกล่อเพื่อให้นักเรียน รู้สึกผิดส่วนมากมักจะพูดว่าเสียใจและก็ร้องไห้ แต่ก็จะมุ่งมั่นเอาชนะจนเรียนจบได้ในที่สุด

(7) โชคชะตาทำให้ได้พบกับ ปาร์คจินยอง
   ในปี 2000 มีเหตุการณ์สำคัญๆ 2 เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมได้พบกับปาร์คจินยองและเขาผลักดันให้ผมได้กลายมาเป็นนักร้อง กับเรื่องที่แม่ของผมได้เสียชีวิตจากผมไป

   เรื่องแรกที่ผมจะเล่า คือว่า ผมพบกับปาร์คจินยองได้ยังไง ตอนนั้นผมมั่วสุมเต้นอยู่กับเพื่อนๆมัธยมปลาย ผมอาศัยอยู่กับพวกเขา ทำกับข้าว ล้างจาน ทำความสะอาด และเต้นไปด้วยที่คลับย่าน อีแตวอน ใกล้ๆมหาวิทยาลัยฮงอิก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมอยู่ในช่วงนั้น

   ครอบครัวของผมลำบาก พ่อทำธุรกิจค้าขายแต่ก็ขาดทุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันหนึ่งเขาเขียนจดหมายทิ้งไว้บอกว่าจะเดินทางไปประเทศบราซิล และเมื่อตั้งตัวได้แล้วจะกลับมา ตอนนั้นแม่ของผมต้องทุกข์ทรมานจากโรคเบาหวานและยังต้องหาเลี้ยงครอบครัวไปด้วย ผมไม่เข้าใจแม่ว่าทำไมต้องทำงานทั้งที่สุขภาพไม่ดี ผมรู้สึกโง่เง่ามากเพราะไม่เคยนึกถึงใครนอกจากตัวเอง

   ในเวลานั้นผมหมกมุ่นอยู่กับการเต้นมากพอๆกับเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับครอบครัวของตัวเอง วันหนึ่งผมตามเพื่อนไปทำงานกับพวกเด็กจรจัดที่ออฟฟิศซอมซ่อแห่งหนึ่ง อยู่ๆ ปาร์คจินยองก็เดินเข้ามา ห้องนั้นเป็นออฟฟิศของ ปาร์คจินยอง

   เขาเห็นผม แล้วก็ถามว่า "ทำอะไรได้บ้าง?"

   ผมตอบ "เต้น" แล้วเขาก็บอกให้ส่งวิดีโอที่ผมเต้นมาให้ดู

   "ว้าว ปาร์คจินยอง โปรดิวเซอร์ จะฝึกให้ผมเป็นนักร้อง!!"

   ผมมีความสุขมากในตอนนั้น หลังจากส่งเทปให้เขาไม่นานนักผมก็กลับมา

(8) ปาร์คจินยอง จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แม่
   หลังจากที่ดูเทปแล้ว ปาร์คจินยอง ก็บอกผมว่า "มาทำอัลบั้มกันเถอะ"

   เขาพอใจจะรับผมและฝึกสอนผมเอง ผมมีความสุขจริงๆ ผมฝึกเต้นและร้องเพลงอย่างหนัก

   ขณะที่ผมกำลังมีความสุขที่จะได้เป็นนักร้องอย่างที่วาดฝันเอาไว้ แม่ของผมสุขภาพทรุดหนักโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ผมยังเด็กแม่ก็ป่วยอยู่เสมอ แต่ผมก็ไม่ได้ตระหนักถึงสภาพครอบครัวในเวลานั้น พ่อของผมเดินทางไปโน่นไปนี่ ไม่มีใครดูแลแม่รวมทั้งตัวผมด้วย

   ผมเริ่มคิดว่าเหลือผมคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวในตอนนั้น ผมจึงเล่าให้ปาร์คจินยองฟังทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับแม่ที่ต้องดูแล แล้วเขาก็พูดว่า

   "เพื่อความ บายใจของเธอ ฉันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เอง ไม่ต้องกังวล"

   ผมรู้สึกซาบซึ้งมาก แม่ของผมเข้ารับการรักษา ตอนนั้นแม่ผมเป็นแผลพุพองขั้นรุนแรงทั่วทั้งตัวอยู่ก่อนแล้ว แต่คนที่โรงพยาบาลบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว ให้แม่กลับมาพักที่บ้าน ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกแน่นที่หน้าอก เมื่อผมนึกถึงวันนั้น แม่ของผมอาการทรุดหนักมากเรานำกลับมาที่โรงพยาบาลอีก ปาร์คจินยองและภรรยาของเขามาเฝ้าดูอาการแม่ของผมด้วย

(9) เต้นอย่างไรให้เป็นสไตล์ของตัวเอง
   ถึงจะมีคนคอยช่วยเหลือ แม่ของผมก็ยังคงไม่ดีขึ้นและในที่สุดก็จากผมไป

   แม่บอกกับผมก่อนเสียชีวิตว่า "ดูแลน้องสาวให้ดี" ผมสัญญากับแม่ด้วยหัวใจ

   ผมเฝ้าบอกตัวเองมาตลอดว่า "ผมจะทำให้ดีที่สุด"

   ผมยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงแม่ ผมอยากให้แม่ได้เห็นว่าผมประสบความสำเร็จในชีวิต ผมจะทำให้ดีที่สุด ถ้าแม่อยู่รออีกสักนิด......สภาพจิตใจผมแย่มาก ผมจะไม่ใส่ใจครอบครัวได้ยังไงถ้าผมมีชีวิตที่ดี

   ผมฝึกซ้อมอย่างหนักหลังจากที่แม่จากไป บริษัทของเราทำวิดีโอเทป 12 นักเต้นเพลงโซล มีทักษะการเคลื่อนไหว 9 ขั้นตอน ผมฝึกจนเหนื่อย ปาร์คจินยองก็ยุ่งมาก เขาไปที่สตูดิโอเพื่อดูและสอนผม แต่เขาก็ไม่เคยพูดชมผมเลยสักครั้ง

   จนถึงวันนี้ เขามักจะพูดว่า "อยากให้งานดี หรือ อยากมีชื่อเสียง"

   ตั้งแต่วันนั้นที่ผ่านมา เขามักจะกดดันผม เขาชอบพูดว่า "จะเต้นยังไงให้เป็นสไตล์ของตัวเอง"

   บางทีก็ว่า "มันไม่เวิร์ก"

   นั่นเป็นวิธีที่เขาสอนผม เมื่อเขาต้องหยุดสอนผม เพราะต้องเดินทางไปบันทึกเสียงที่อเมริกา ผมต้องต่อสู้กับความเหงา ผมอยู่ที่สตูดิโอจนกระทั่งทุกคนกลับบ้าน แล้วผมก็คิดท่าเต้นและฝึกซ้อมในตอนนั้น ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเศร้าใจจริงๆ ผมใช้วิธีร้องเพลงและเต้นบนรถไฟใต้ดินและบนรถเมล์

(10) ต่อสู้กับความโดดเดี่ยว
   ผมรู้สึกท้อแท้และอ่อนล้าที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นผมจึงฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งด้วยการร้องตะโกนเสียงดังและเต้นไปทั่วตามถนนตลอดเส้นทางไปสตูดิโอและทางกลับบ้าน คิดท่าเต้นต่างๆให้เข้ากับเพลงที่ร้อง ไม่ว่าจะอยู่บนรถไฟใต้ดิน รถเมล์ หรือที่โล่งแจ้งอื่นๆ คล้ายกับคนบ้า

   ผมรู้สึกว่ามันไม่ง่ายกว่าจะได้เป็นนักร้อง

   หลังจากที่ปาร์คจินยองไปเป็นโปรดิวเซอร์ที่อเมริกา ผมก็ทนทุกข์กับความเหงาและต้องอยู่ตัวคนเดียวฝึกอย่างโดดเดี่ยวจนปาร์คจินยองกลับจากอเมริกาหลังจากงานโปรดิวเซอร์ของเขาเสร็จ สมบูรณ์ ผมคิดว่าตัวเองจะได้ทำอัลบั้มออกมาเสียที แต่ปาร์คจินยองบอกกับผมว่า อัลบั้มของเขาจะต้องออกก่อนเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาเหมาะสม ดังนั้นอัลบั้มชุดแรกของผมต้องเลื่อนไปเดือนสิงหาคม ผมต้องคิดท่าเต้นประกอบด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่การเต้นทั้งหมดในการร้องของผม แต่มันก็มาก

   ผมทำงานเป็นแดนเซอร์ของปาร์คจินยอง ถึงจะเป็นประสบการณ์ที่ดีบนเวที แต่การต้องไปทุกๆ ที่กับปาร์คจินยองทุกวันเพื่อฝึกฝนมันยากมากๆ ขณะที่ปาร์คจินยองและผู้จัดการที่ดูแลได้หยุดพักผ่อน ผมยังคงต้องฝึกโดยไม่ได้หยุดพัก ผมต้องร้องเพลงโดยอัตโนมัติ เมื่อไรก็ตามที่ปาร์คจินยองโบกมือของเขาและจะร้องซ้ำเพลงเดิมๆ หลาย ๆ ครั้ง เป็นพันๆครั้งในวันหนึ่ง ผมถูกตีหัวเพราะร้องผิดโน้ตซ้ำๆ ตีที่หัวฟังดูเหมือนไม่รุนแรงอะไร แต่การตีที่จุดเดิมๆบ่อยๆ มันทำให้เจ็บไม่น้อยทีเดียว

(11) อัลบั้มของผมต้องล่าช้าออกไปอีก
   ตอนที่ผมเต้นให้ปาร์คจินยอง ผมคิดและร้องอยู่คนเดียวเป็นพันๆ ครั้งเรื่องอัลบั้มเพลงของตัวเอง ขณะนั่งอยู่ในรถคนอื่นๆ จะหลับและพักผ่อน แต่ผมก็ยังคงร้องเพลงไม่หยุด เมื่อปาร์คจินยองโบกมือให้ ผมฝึกฝนเฝ้ารอให้ถึงเดือนสิงหาคม เพื่ออัลบั้มของผมจะได้ออกเสียที

   พอเดือนสิงหาคมมาถึง แผนงานก็ถูกเปลี่ยนแปลงอีก มันเป็นการออกอัลบั้มของปาร์คจินยองต่างหาก เนื่องจากเขาเป็นผู้จัดการบริษัท อัลบั้มของผมถูกเลื่อนไปเดือนพฤศจิกายนแทน ผมเริ่มกระวนกระวายใจ กับเหตุการณ์ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ

   หลังจากออกอัลบั้มเสร็จ ปาร์คจินยองก็ไปอเมริกาอีกครั้ง ผมยังคงฝึกร้องเพลง ไม่มีอะไรนอกจากต้องรอไปก่อน ผมรู้สึกเลื่อนลอยเคว้งคว้าง กลัวว่าไม่ได้ออกอัลบั้มของตัวเองหลังจากที่เตรียมตัวมาอย่างหนักถึง 2 ปี ซึ่งผมมีประสบการณ์ในการเต้นร้องเพลงมากขึ้นทีเดียว

   พอปาร์คจินยองกลับมาเกาหลี ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น เขาบอกว่า ถึงเวลาออกอัลบั้มของผมได้แล้ว เราบันทึกเสียงประมาณหนึ่งเดือนกว่า การบันทึกเสียงใช้เวลาไม่นาน เพราะเพลงทั้งหมดทำเสร็จนานแล้ว

   ท้ายที่สุดผมได้ขึ้นเวทีครั้งแรกวันที่ 28 เมษายน ผมอยากแสดงออกทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมฝึกมานานทั้งร้องเพลงและเต้นแต่มันก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรและไม่ค่อยถูกแบบแผนนัก แต่ผมก็ไม่ขืนตัวเอง ยังคงปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ

   ผมเฝ้าบอกตัวเองว่ามันคงจะต้องจบ ถ้าผมไม่ทำในช่วงเวลานี้ให้ดีที่สุด

   รู้ไหมครับพวกคนดูจ้องจนตาค้างไปเลย และผมก็ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง

(12) ผมอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่เก่ง
   ความคิดต่างๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนที่จะเป็นนักร้อง

   "ทำไมคุณไม่ร้องเพลงตลอดไปล่ะ?"

   หลังจากฝึกร้องเพลงอย่างหนัก ผมมั่นใจว่าสามารถเป็นนักร้องอาชีพได้ แต่ผมก็ยังไม่มีประสบการณ์มากพอสำหรับการเป็นนักร้องหน้าใหม่ ผมเคยลิปซิงค์บนเวทีบ้างแต่ก็ไม่บ่อย

   ผมมาเลิกวิตกกังวลเมื่อตอนได้ไปร้องเพลงที่ MBC TV ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ผู้คนต่างชื่นชมผมว่านอกจากจะเต้นได้ดีแล้วยังร้องเพลงได้ดีอีกด้วย พวกเขาประหลาดใจที่คนอื่นๆต่างพากันปรบมือหลังจากผมร้องเพลงจบ เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้

   มันเป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของผมในการเป็นนักร้องอาชีพ สามเดือนตั้งแต่ออกอัลบั้มผมได้รับความสำเร็จท่ามกลางแฟนๆ ที่ให้กำลังใจ ผมยังคงทำงานหนักอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เร็วๆ นี้ ผมมีจะการแสดงใหม่ๆ กับบทบาทที่ท้าทาย ผมจะได้เล่นละครตลกซิทคอมและผมคิดว่าการแสดงมันน่าสนใจมาก ผมต้องการแสดงความสามารถในทุกๆ ด้าน

   เมื่อร้องเพลง เต้น และแสดงได้ดีแล้ว หลังจากนั้นผมอยากจะเป็นดีไซเนอร์ออกแบบแฟชั่น ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมในตอนนี้ คือการประสบความสำเร็จในการเป็นนักร้องภายใน 10 ปี และหลังจากนั้นผมจะเริ่มศึกษาด้านการออกแบบ

   20 ปีต่อจากนี้ไป ผมอยากได้รับการยอมรับในฐานะดีไซเนอร์ด้วย ผมขอขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องราวนี้ครับ

   เรนกล่าวไว้ว่า "ถ้าไม่พยายาม ไม่อดทน และไม่ถ่อมตัว ชีวิตก็จะไม่ประสบความสำเร็จ"

   ไม่ว่าหนทางนั้นจะสินสุดลงอย่างไร ถึงวันนี้ "เรน" ชองจีฮุน สายฝนเลือดเกาหลีคนนี้ ยังคงซัดสาดในวงการธุรกิจบันเทิงให้ขับเคลื่อนต่อไป.