ร.ศ.พ.ญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน
สาขาจิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การรักษาสิว ถ้าแพทย์ผู้ตรวจและผู้ป่วยต่างไม่ทราบว่าสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีปัจจัยอะไรที่ส่งเสริมให้เกิดสิว ก็จะทำการรักษาไม่ประสบความสำเร็จ โรคสิวเป็นโรคที่พบบ่อยในคลินิกโรคผิวหนัง แต่แพทย์และผู้ป่วยโรคสิวหลายท่านยังไม่รู้หรือรู้แบบไม่กระจ่างอยู่หลายประการเท่าที่ผู้เขียนรวบรวมได้คือ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้ว่าสิวพบมากในวัยรุ่นจากฮอร์โมนเพศชายที่เพิ่มขึ้นกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ผิวจึงมันเพิ่มขึ้น พบการอุดตันของรูขุมขนทำให้เกิดสิวหัวขาว (comedone) และปริมาณเชื้อโรค P.acne ในรูขุมขนซึ่งมีปริมาณมากขึ้นก็เป็นเหตุทำให้เกิดสิว สิวส่วนใหญ่จะหายได้เอง มีส่วนน้อยที่จำเป็นต้องรักษา แต่หลายท่านไม่รู้ว่าครีมบำรุงผิวอาจกลายเป็นครีมบำรุงสิวได้เพราะครีมจะเสริมการอุดตันของรูขุมขน
ด้วยกระแสการตลาดของผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าเฟื่องฟู วัยรุ่นและคนวัยทำงานมักจะซื้อ ผลิตภัณฑ์ปกป้องแสงแดด ผลิตภัณฑ์เพื่อปรับสีผิวให้ขาว ผลิตภัณฑ์ป้องกันริ้วรอย ฯลฯ มาทดลองใช้และด้วยผิวยังอยู่ในวัยเกิดสิวง่าย ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ที่ใช้จึงก่อให้เกิดสิวอุดตันจำนวนมากและเกิดการอักเสบรุนแรงตามมา ความไม่รู้จึงทำให้สิวซึ่งควรจะหายกลับเห่อขึ้น ดังนั้นในวัยซึ่งยังมีสิวควรเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นเท่านั้น
ผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้แต่ประโยชน์ของยารักษาสิว แต่ไม่รู้ว่ายารักษาสิวก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ ตั้งแต่แพ้เล็กน้อยจนกระทั่งรุนแรงเสียชีวิตได้ เช่น
ยาทาสิว กรดวิตามิน เอ จะระคายผิว ยาทาเบนซอยเปอร์ออกไซด์อาจแพ้ได้ ส่วนยาทาปฏิชีวนะอิริโธรมัยซิน คลินดามัยซินทำให้เชื้อโรคดื้อยา ซึ่งในระยะยาวการดื้อยาจะถ่ายทอดไปให้เชื้อโรคอื่น ยาทาเรซอซินอลทำให้เกิดผื่นแพ้ ส่วนกรดซาลิซิลิค (BHA) หรือกรดผลไม้ (AHA) ทำให้ผิวระคาย
ส่วนยารับประทานรักษาสิวกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเตทตราซัยคลิน อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ติดเชื้อราในช่องคลอด (candida vaginitis) ยามีผลต่อฟันและกระดูก ยาโคไตรมอกซาโซล(cotrimoxazole) และแดปโซน (dapsone) อาจทำให้เกิดการแพ้บางรายรุนแรงเป็น Steven-Johnsons syndrome หรือ dapsone syndrome ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต ส่วนยา อิริโธรมัยซิน (erythromycin) และแอมพิซิลิน (ampicillin) อาจแพ้ได้
ขณะที่การรักษาสิวด้วยยารับประทานกรดวิตามิน เอ (isotretinoin) ทำให้ผิวแห้ง ริมฝีปากแห้งแตก ตาแห้ง ผื่นสิวเห่อรุนแรงจากเชื้อ staphylococcus aureus ยายังทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น และก่อให้เกิดการพิการของทารกในครรภ์
ยาฉีดสตีรอยด์จะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ดีและรวดเร็ว ในปัจจุบันมีการฉีดยาสตีรอยด์แบบฟุ่มเฟือย ปัญหาจากการฉีดยามีความรุนแรงมากขึ้น เพราะผู้เป็นสิวรู้สึกพอใจที่สิวหายภายใน 1-2 วัน แพทย์ผู้รักษาก็พอใจกับรายรับที่ได้จากการฉีดยา เนื่องจากคลินิกผิวหนังแบบแฟรนไชส์มีมากขึ้น มีการแข่งขันและมีการตลาดเกิดขึ้นในวงการแพทย์และแพทย์ซึ่งประจำในคลินิกแฟรนไชส์ส่วนใหญ่ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปัญหาจึงเกิดขึ้นจากความไม่รู้
สิวอักเสบทุกเม็ดจะถูกฉีดยาสตีรอยด์ สิวหายภายใน2 วันจริง แต่จะมีสิวใหม่ขึ้นมาอีกระรอก ผู้ป่วยซึ่งติดใจผลของยาฉีดก็จะขอฉีดซ้ำอีก จึงมียาสะสมอยู่เกือบทั่วใบหน้า ยาฉีดสตีรอยด์จะค้างอยู่ในผิวหนังอาจนานเป็นเดือน
ผลข้างเคียงของยาฉีดสตีรอยด์ในระยะแรก คือทำให้ผิวหนังยุบตัวถ้าฉีดลึกเกินไปและผลข้างเคียงในระยะยาวยากลับก่อให้เกิดสิวใหม่เพิ่มขึ้น เพราะยาสตีรอยด์จะช่วยให้การอักเสบทุเลาชั่วคราวแต่ยังมีหัวสิวค้างอยู่ และหัวสิวที่ค้างจะเกิดการอักเสบกำเริบรุนแรงซ้ำตามมา สิวซึ่งมีหัวสิวถ้าต้องการให้หายเร็วควรเจาะเอาหัวสิวและหนองออก
ที่สำคัญคือ พบว่าปัญหาสิวเก่ากำเริบรุนแรงเรื้อรังกว่าเดิมนี้ จะมีมากขึ้นตามจำนวนคลินิก แฟรนไชส์ที่เพิ่มขึ้น เพราะความไม่รู้ของแพทย์ซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และความไม่รู้ของผู้ป่วยซึ่งเข้าใจว่าหมอสิวทุกท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ในปัจจุบันมีเครื่องมือใหม่ๆมาให้แพทย์ทดลองใช้ เป็นเครื่องกำเนิดแสงชนิดต่างๆผลิตจากหลายประเทศ คนไทยชอบทดลอง ด้วยความไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยีไม่คำนึงถึงโทษหรือความคุ้มค่า ผู้ป่วยหลายท่านคิดว่าเป็นเรื่องโก้เก๋ที่ได้ใช้ของใหม่ แพทย์ผู้ให้บริการเองก็ไม่ทราบประสิทธิภาพของเครื่องมือในระยะยาวจริง แต่เมื่อได้ลงทุนซื้อเครื่องมาใหม่ก็จำเป็นต้องถอนทุนคืน คนไทยจึงกลายเป็นหนูทดลองให้บริษัทขายเครื่องมือ เพราะจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อมูลที่สนับสนุนว่าแสงหรือเลเซอร์ที่ใช้รักษาสิวมีประโยชน์จริง แต่คนไทยทั้งแพทย์และผู้ป่วยได้เสียเงินไปเรียบร้อยแล้ว จากความไม่รู้ของแพทย์และบริษัทผู้จำหน่าย แพทย์หลายท่านลืมไปว่าผู้ป่วยได้ทั้งยาทาและยารับประทานประสิทธิภาพสูงร่วม ในระหว่างรักษาสิวจึงทุเลา
สังคมไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะต้องมีความรู้พื้นฐานว่าสิวเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติไม่ใช่โรคร้ายแรง มีความรู้ว่าสิวมีความรุนแรงหลายระดับ สิวเป็นน้อยเมื่อผ่านวัยรุ่นสิวจะหายเอง ตุ่มสิวอักเสบเล็กน้อยจะไม่มีรอยแผลเป็นเมื่อหาย และเมื่อเป็นสิวรุนแรงควรพบแพทย์ผิวหนัง และควรงดการใช้เครื่องสำอางฟุ่มเฟือยเพราะจะก่อให้เกิดสิวได้
เนื่องจากรายได้จากการให้บริการรักษาสิวจะสูงเพราะเป็นโรคพบบ่อย จึงเกิดวิธีการรักษาให้ถูกใจแต่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นมากมาย และกระแสของสังคมที่ให้ความสำคัญของภาพ ลักษณ์ความงามมากกว่าความดี ยิ่งส่งเสริมให้อาชีพรักษาสิวเจริญยิ่งขึ้น การรักษาสิวในปัจจุบันเป็นไปอย่างไร้ระเบียบไม่มีขอบเขต อาจบ่งชี้ว่าสังคมเสื่อมลงในด้านการศึกษา ผู้บริโภคไม่รู้เท่าทันข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วนแพทย์เปลี่ยนอาชีพจากแพทย์เป็นผู้ให้บริการ
วัยรุ่นยุคใหม่ควรมีความคิดกว้างไกลเข้าใจธรรมชาติไม่วิตกกังวลและกลัวจนเกินเหตุ คงถึงเวลาที่แพทย์ซึ่งเป็นผู้นำสังคมควรชี้แนะในทางที่ถูกต้องเพื่ออนาคตของเยาวชนไทยให้คิดเป็นไม่เป็นเหยื่อของผู้เอารัดเอาเปรียบในสังคมต่อไป
สาขาจิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การรักษาสิว ถ้าแพทย์ผู้ตรวจและผู้ป่วยต่างไม่ทราบว่าสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีปัจจัยอะไรที่ส่งเสริมให้เกิดสิว ก็จะทำการรักษาไม่ประสบความสำเร็จ โรคสิวเป็นโรคที่พบบ่อยในคลินิกโรคผิวหนัง แต่แพทย์และผู้ป่วยโรคสิวหลายท่านยังไม่รู้หรือรู้แบบไม่กระจ่างอยู่หลายประการเท่าที่ผู้เขียนรวบรวมได้คือ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้ว่าสิวพบมากในวัยรุ่นจากฮอร์โมนเพศชายที่เพิ่มขึ้นกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ผิวจึงมันเพิ่มขึ้น พบการอุดตันของรูขุมขนทำให้เกิดสิวหัวขาว (comedone) และปริมาณเชื้อโรค P.acne ในรูขุมขนซึ่งมีปริมาณมากขึ้นก็เป็นเหตุทำให้เกิดสิว สิวส่วนใหญ่จะหายได้เอง มีส่วนน้อยที่จำเป็นต้องรักษา แต่หลายท่านไม่รู้ว่าครีมบำรุงผิวอาจกลายเป็นครีมบำรุงสิวได้เพราะครีมจะเสริมการอุดตันของรูขุมขน
ด้วยกระแสการตลาดของผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าเฟื่องฟู วัยรุ่นและคนวัยทำงานมักจะซื้อ ผลิตภัณฑ์ปกป้องแสงแดด ผลิตภัณฑ์เพื่อปรับสีผิวให้ขาว ผลิตภัณฑ์ป้องกันริ้วรอย ฯลฯ มาทดลองใช้และด้วยผิวยังอยู่ในวัยเกิดสิวง่าย ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ที่ใช้จึงก่อให้เกิดสิวอุดตันจำนวนมากและเกิดการอักเสบรุนแรงตามมา ความไม่รู้จึงทำให้สิวซึ่งควรจะหายกลับเห่อขึ้น ดังนั้นในวัยซึ่งยังมีสิวควรเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นเท่านั้น
ผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้แต่ประโยชน์ของยารักษาสิว แต่ไม่รู้ว่ายารักษาสิวก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ ตั้งแต่แพ้เล็กน้อยจนกระทั่งรุนแรงเสียชีวิตได้ เช่น
ยาทาสิว กรดวิตามิน เอ จะระคายผิว ยาทาเบนซอยเปอร์ออกไซด์อาจแพ้ได้ ส่วนยาทาปฏิชีวนะอิริโธรมัยซิน คลินดามัยซินทำให้เชื้อโรคดื้อยา ซึ่งในระยะยาวการดื้อยาจะถ่ายทอดไปให้เชื้อโรคอื่น ยาทาเรซอซินอลทำให้เกิดผื่นแพ้ ส่วนกรดซาลิซิลิค (BHA) หรือกรดผลไม้ (AHA) ทำให้ผิวระคาย
ส่วนยารับประทานรักษาสิวกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเตทตราซัยคลิน อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ติดเชื้อราในช่องคลอด (candida vaginitis) ยามีผลต่อฟันและกระดูก ยาโคไตรมอกซาโซล(cotrimoxazole) และแดปโซน (dapsone) อาจทำให้เกิดการแพ้บางรายรุนแรงเป็น Steven-Johnsons syndrome หรือ dapsone syndrome ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต ส่วนยา อิริโธรมัยซิน (erythromycin) และแอมพิซิลิน (ampicillin) อาจแพ้ได้
ขณะที่การรักษาสิวด้วยยารับประทานกรดวิตามิน เอ (isotretinoin) ทำให้ผิวแห้ง ริมฝีปากแห้งแตก ตาแห้ง ผื่นสิวเห่อรุนแรงจากเชื้อ staphylococcus aureus ยายังทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น และก่อให้เกิดการพิการของทารกในครรภ์
ยาฉีดสตีรอยด์จะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ดีและรวดเร็ว ในปัจจุบันมีการฉีดยาสตีรอยด์แบบฟุ่มเฟือย ปัญหาจากการฉีดยามีความรุนแรงมากขึ้น เพราะผู้เป็นสิวรู้สึกพอใจที่สิวหายภายใน 1-2 วัน แพทย์ผู้รักษาก็พอใจกับรายรับที่ได้จากการฉีดยา เนื่องจากคลินิกผิวหนังแบบแฟรนไชส์มีมากขึ้น มีการแข่งขันและมีการตลาดเกิดขึ้นในวงการแพทย์และแพทย์ซึ่งประจำในคลินิกแฟรนไชส์ส่วนใหญ่ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปัญหาจึงเกิดขึ้นจากความไม่รู้
สิวอักเสบทุกเม็ดจะถูกฉีดยาสตีรอยด์ สิวหายภายใน2 วันจริง แต่จะมีสิวใหม่ขึ้นมาอีกระรอก ผู้ป่วยซึ่งติดใจผลของยาฉีดก็จะขอฉีดซ้ำอีก จึงมียาสะสมอยู่เกือบทั่วใบหน้า ยาฉีดสตีรอยด์จะค้างอยู่ในผิวหนังอาจนานเป็นเดือน
ผลข้างเคียงของยาฉีดสตีรอยด์ในระยะแรก คือทำให้ผิวหนังยุบตัวถ้าฉีดลึกเกินไปและผลข้างเคียงในระยะยาวยากลับก่อให้เกิดสิวใหม่เพิ่มขึ้น เพราะยาสตีรอยด์จะช่วยให้การอักเสบทุเลาชั่วคราวแต่ยังมีหัวสิวค้างอยู่ และหัวสิวที่ค้างจะเกิดการอักเสบกำเริบรุนแรงซ้ำตามมา สิวซึ่งมีหัวสิวถ้าต้องการให้หายเร็วควรเจาะเอาหัวสิวและหนองออก
ที่สำคัญคือ พบว่าปัญหาสิวเก่ากำเริบรุนแรงเรื้อรังกว่าเดิมนี้ จะมีมากขึ้นตามจำนวนคลินิก แฟรนไชส์ที่เพิ่มขึ้น เพราะความไม่รู้ของแพทย์ซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และความไม่รู้ของผู้ป่วยซึ่งเข้าใจว่าหมอสิวทุกท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ในปัจจุบันมีเครื่องมือใหม่ๆมาให้แพทย์ทดลองใช้ เป็นเครื่องกำเนิดแสงชนิดต่างๆผลิตจากหลายประเทศ คนไทยชอบทดลอง ด้วยความไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยีไม่คำนึงถึงโทษหรือความคุ้มค่า ผู้ป่วยหลายท่านคิดว่าเป็นเรื่องโก้เก๋ที่ได้ใช้ของใหม่ แพทย์ผู้ให้บริการเองก็ไม่ทราบประสิทธิภาพของเครื่องมือในระยะยาวจริง แต่เมื่อได้ลงทุนซื้อเครื่องมาใหม่ก็จำเป็นต้องถอนทุนคืน คนไทยจึงกลายเป็นหนูทดลองให้บริษัทขายเครื่องมือ เพราะจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อมูลที่สนับสนุนว่าแสงหรือเลเซอร์ที่ใช้รักษาสิวมีประโยชน์จริง แต่คนไทยทั้งแพทย์และผู้ป่วยได้เสียเงินไปเรียบร้อยแล้ว จากความไม่รู้ของแพทย์และบริษัทผู้จำหน่าย แพทย์หลายท่านลืมไปว่าผู้ป่วยได้ทั้งยาทาและยารับประทานประสิทธิภาพสูงร่วม ในระหว่างรักษาสิวจึงทุเลา
สังคมไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะต้องมีความรู้พื้นฐานว่าสิวเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติไม่ใช่โรคร้ายแรง มีความรู้ว่าสิวมีความรุนแรงหลายระดับ สิวเป็นน้อยเมื่อผ่านวัยรุ่นสิวจะหายเอง ตุ่มสิวอักเสบเล็กน้อยจะไม่มีรอยแผลเป็นเมื่อหาย และเมื่อเป็นสิวรุนแรงควรพบแพทย์ผิวหนัง และควรงดการใช้เครื่องสำอางฟุ่มเฟือยเพราะจะก่อให้เกิดสิวได้
เนื่องจากรายได้จากการให้บริการรักษาสิวจะสูงเพราะเป็นโรคพบบ่อย จึงเกิดวิธีการรักษาให้ถูกใจแต่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นมากมาย และกระแสของสังคมที่ให้ความสำคัญของภาพ ลักษณ์ความงามมากกว่าความดี ยิ่งส่งเสริมให้อาชีพรักษาสิวเจริญยิ่งขึ้น การรักษาสิวในปัจจุบันเป็นไปอย่างไร้ระเบียบไม่มีขอบเขต อาจบ่งชี้ว่าสังคมเสื่อมลงในด้านการศึกษา ผู้บริโภคไม่รู้เท่าทันข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วนแพทย์เปลี่ยนอาชีพจากแพทย์เป็นผู้ให้บริการ
วัยรุ่นยุคใหม่ควรมีความคิดกว้างไกลเข้าใจธรรมชาติไม่วิตกกังวลและกลัวจนเกินเหตุ คงถึงเวลาที่แพทย์ซึ่งเป็นผู้นำสังคมควรชี้แนะในทางที่ถูกต้องเพื่ออนาคตของเยาวชนไทยให้คิดเป็นไม่เป็นเหยื่อของผู้เอารัดเอาเปรียบในสังคมต่อไป