เนื้อความ เรื่องจาก เกศคณี สุยะนันทน์ -นิตยสาร แพรวฉบับ533 10/11/01
ดิฉันไม่เชื่อว่ามิตรภาพกับคนแปลกหน้าจะมีอยู่จริง จนกระทั่งได้พบกับลุงไอติม
ตั้งแต่วันที่ดิฉันเป็นนิสิต นิเทศฯ จุฬา ก็ได้รับรู้ว่าจะมีลุงคนนึงเข็นไอติม
มาขายหน้าคณะทุกวัน ทีแรกไม่กล้าซื้อ เพราะไม่มั่นใจในความสะอาด
แต่เมื่อเห็นรุ่นพี่อุดหนุนกันแทบทุกคน จึงเริ่มเป็นลูกค้าลองชิมบ้าง
รสชาติของไอศกรีมลุงธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือลุงไอติมเป็นคนแก่ที่น่ารัก
อัธยาศัยดี พูดเพราะคุยสนุก และอยู่ที่คณะนานมาก ลุงจึงมีเรื่องของรุ่นพี่ที่จบ
ไปนานแล้วเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งรูปคู่ รูปหมู่
ทั้งกับบัณฑิตรุ่นต่างๆศิษย์เก่าที่เป็นดารา ซึ่งลุงจะเก็บติดรถไว้ดูเพลินๆ
กว่าดิฉันจะรู้ตัวก็กลายเป็นลูกค้าประจำของลุงไปแล้ว วันไหนอากาศเย็น
ไอติมของลุงเหลือเยอะ ดิฉันก็จะช่วยซื้อเกินราคาไม่ให้ลุงขาดทุนและมีเงินจ่าย
ไปซื้อไอติมมาขายในวันรุ่งขึ้น ทุกครั้งลุงจะอวยพรให้ยืดยาว นอกจากดิฉัน
ดูเหมือนทุกคนในคณะก็รับลุงเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นงานรับน้อง
กิจกรรมงานเลี้ยง จะต้องมีไอติมของลุงร่วมด้วยจนจบงานแล้วกลับบ้านพร้อมกัน
ดิฉันว่าความสุขของลุงไม่ได้มาจากกำไรเล็กๆน้อยๆแต่ได้มาจากการได้มาขายไอติม
ได้พูดคุยกับลูกค้าทุกวันต่างหากรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่าลุงตัวคนเดียวไม่มีใคร
พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลุงชื่ออะไร และไม่เคยมีใครอยากรู้เพราะอาจ ชื่อลุงไอติมเป็น
เอกลักษณ์ของแกไปแล้ว วันนึงพวกเรารู้ข่าวว่าขโมยขึ้นบ้านลุง
ทั้งที่ไม่มีทรัพย์อะไรให้ฉกฉวยมากนักแต่ก็ทำให้ลุงซึมๆไปเพราะ
ได้ขโมยที่โกนหนวดที่ลุงรักไป พวกเราจึงเก็บเงินที่คณะซื้อที่โกนหนวดอย่างดีให้ลุงใหม่
ตอนที่ลุงได้รับลุงพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ลูบคลำและพกไว้ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปดิฉัน เรียนอยู่ปี3 และต้องไปออกภาคสนาม1สัปดาห์
เมื่อกลับมารู้สึกว่าผิดปกติที่ไม่เห็นรถของลุงไอติม แต่ยังไม่ได้คิดอะไร
จนรุ่นพี่มาบอกว่า ลุงไอติมเสียแล้ว
รุ่นพี่บอกว่าทางคณะเป็นเจ้าภาพงานศพให้ทำพิธีเผาทุกอย่างเพราะลุงไม่มีญาติถึง
รู้มาว่าสภาพของลุงไม่ดีนัก แต่ดิฉันก็อดใจหายไม่ได้
ตั้งใจว่าอย่างไรก็ต้องไปงานศพลุงให้ได้ และเมื่อไปถึง
วัดดวงแข ดิฉันก็ต้องยืนนิ่งน้ำตาไหล พูดไม่ออกกับภาพที่เห็น ผู้คนที่นั่งบ้างยืนบ้าง
จนเต็มศาลานั้นเป็นศิษย์เก่า และปัจจุบัน ของคณะนิเทศฯ ดิฉันเคยไปงานศพหลายครั้ง
แต่ไม่มีครั้งไหนที่มีความรู้สึกประทับใจอย่างนี้ งานศพที่ไม่มีใครสักคนเป็นญาติกับคนตาย
มีแต่ลูกค้าที่ผูกพันกับรสไมตรีจากไอติมมานานนับสิบปีพวกเราบางคนอธิษฐานว่า
หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ลุงมีร้านไอติมเป็นของตัวเอง แต่ดิฉันคิดว่า
ถ้าจะมีอะไรทำให้ลุงดีใจ ก็คงจะเป็นการที่ลูกค้าของลุงพร้อมใจกันมา
ส่งลุงเป็นครั้งสุดท้ายนี่แหละ
( นี่แหละมั้ง..............ที่เขาเรียกว่าความผูกพัน :)
ดิฉันไม่เชื่อว่ามิตรภาพกับคนแปลกหน้าจะมีอยู่จริง จนกระทั่งได้พบกับลุงไอติม
ตั้งแต่วันที่ดิฉันเป็นนิสิต นิเทศฯ จุฬา ก็ได้รับรู้ว่าจะมีลุงคนนึงเข็นไอติม
มาขายหน้าคณะทุกวัน ทีแรกไม่กล้าซื้อ เพราะไม่มั่นใจในความสะอาด
แต่เมื่อเห็นรุ่นพี่อุดหนุนกันแทบทุกคน จึงเริ่มเป็นลูกค้าลองชิมบ้าง
รสชาติของไอศกรีมลุงธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือลุงไอติมเป็นคนแก่ที่น่ารัก
อัธยาศัยดี พูดเพราะคุยสนุก และอยู่ที่คณะนานมาก ลุงจึงมีเรื่องของรุ่นพี่ที่จบ
ไปนานแล้วเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งรูปคู่ รูปหมู่
ทั้งกับบัณฑิตรุ่นต่างๆศิษย์เก่าที่เป็นดารา ซึ่งลุงจะเก็บติดรถไว้ดูเพลินๆ
กว่าดิฉันจะรู้ตัวก็กลายเป็นลูกค้าประจำของลุงไปแล้ว วันไหนอากาศเย็น
ไอติมของลุงเหลือเยอะ ดิฉันก็จะช่วยซื้อเกินราคาไม่ให้ลุงขาดทุนและมีเงินจ่าย
ไปซื้อไอติมมาขายในวันรุ่งขึ้น ทุกครั้งลุงจะอวยพรให้ยืดยาว นอกจากดิฉัน
ดูเหมือนทุกคนในคณะก็รับลุงเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นงานรับน้อง
กิจกรรมงานเลี้ยง จะต้องมีไอติมของลุงร่วมด้วยจนจบงานแล้วกลับบ้านพร้อมกัน
ดิฉันว่าความสุขของลุงไม่ได้มาจากกำไรเล็กๆน้อยๆแต่ได้มาจากการได้มาขายไอติม
ได้พูดคุยกับลูกค้าทุกวันต่างหากรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่าลุงตัวคนเดียวไม่มีใคร
พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลุงชื่ออะไร และไม่เคยมีใครอยากรู้เพราะอาจ ชื่อลุงไอติมเป็น
เอกลักษณ์ของแกไปแล้ว วันนึงพวกเรารู้ข่าวว่าขโมยขึ้นบ้านลุง
ทั้งที่ไม่มีทรัพย์อะไรให้ฉกฉวยมากนักแต่ก็ทำให้ลุงซึมๆไปเพราะ
ได้ขโมยที่โกนหนวดที่ลุงรักไป พวกเราจึงเก็บเงินที่คณะซื้อที่โกนหนวดอย่างดีให้ลุงใหม่
ตอนที่ลุงได้รับลุงพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ลูบคลำและพกไว้ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปดิฉัน เรียนอยู่ปี3 และต้องไปออกภาคสนาม1สัปดาห์
เมื่อกลับมารู้สึกว่าผิดปกติที่ไม่เห็นรถของลุงไอติม แต่ยังไม่ได้คิดอะไร
จนรุ่นพี่มาบอกว่า ลุงไอติมเสียแล้ว
รุ่นพี่บอกว่าทางคณะเป็นเจ้าภาพงานศพให้ทำพิธีเผาทุกอย่างเพราะลุงไม่มีญาติถึง
รู้มาว่าสภาพของลุงไม่ดีนัก แต่ดิฉันก็อดใจหายไม่ได้
ตั้งใจว่าอย่างไรก็ต้องไปงานศพลุงให้ได้ และเมื่อไปถึง
วัดดวงแข ดิฉันก็ต้องยืนนิ่งน้ำตาไหล พูดไม่ออกกับภาพที่เห็น ผู้คนที่นั่งบ้างยืนบ้าง
จนเต็มศาลานั้นเป็นศิษย์เก่า และปัจจุบัน ของคณะนิเทศฯ ดิฉันเคยไปงานศพหลายครั้ง
แต่ไม่มีครั้งไหนที่มีความรู้สึกประทับใจอย่างนี้ งานศพที่ไม่มีใครสักคนเป็นญาติกับคนตาย
มีแต่ลูกค้าที่ผูกพันกับรสไมตรีจากไอติมมานานนับสิบปีพวกเราบางคนอธิษฐานว่า
หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ลุงมีร้านไอติมเป็นของตัวเอง แต่ดิฉันคิดว่า
ถ้าจะมีอะไรทำให้ลุงดีใจ ก็คงจะเป็นการที่ลูกค้าของลุงพร้อมใจกันมา
ส่งลุงเป็นครั้งสุดท้ายนี่แหละ
( นี่แหละมั้ง..............ที่เขาเรียกว่าความผูกพัน :)