ไม่เคยมีผู้เชี่ยวชาญคนไหนออกมากล่าวว่า มนุษย์จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าโลกนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือ
เคยดูภาพข่าวของโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เป็นภาพถนนในประเทศญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นและคนทำงานกำลังใช้โทรศัพท์มือถือกันแทบทุกคน ผู้บรรยายบอกว่า คนเมืองหลวงของประเทศนี้กำลังบ้าคลั่งกับการใช้โทรศัพท์มือถือเอามาก โดยเฉพาะวัยรุ่น ซึ่งผลสำรวจออกมาพบว่าบ่อยครั้งที่การใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กกลุ่มนี้ จะเป็นเพียงการโทรคุยกันในเรื่องทั่วไปเท่านั้น ซึ่งถ้าพูดเป็นภาษาบ้านๆ ก็คือการโทรไปเม้าท์กันธรรมดานี่เอง
วัยรุ่นไทยก็ใช่ว่าจะแพ้วัยรุ่นแดนปลาดิบเสียเมื่อไร โทรศัพท์มือถือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เรื่องน่าเป็นห่วงคือ หลายคนเป็นโรคเสพติดมือถือถึงขั้น 'ฉันลงแดงตายแน่ๆ ถ้าวันไหนเกิดลืมมือถือไว้ที่บ้าน หรือแบตเตอรี่มือถือหมด' แม้การเสพติดมือถือจะไม่ใช่โรคทางการแพทย์ แต่ในด้านจิตใจแล้ว นี่คือโรคทางใจอย่างหนึ่งที่สามารถมีผลกระทบต่อชีวิตได้
หลิน อายุ 23 ปี เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนที่เคยเป็นโรคนี้ หลินบอกว่าใบแจ้งเก็บค่าโทรศัพท์แต่ละเดือนของเธอเหยียบเจ็ดพันกว่าบาท บางเดือนก็ทะลุไปเกือบหลักหมื่น ถ้าเธอลืมมือถือไว้ที่บ้าน ต้องลนลานกลับไปเอา มิเช่นนั้น เธอจะอยู่อย่างปกติสุขไม่ได้ ที่ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ก็ต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา จึงไม่เคยมีสักครั้งที่แบตฯมือถือจะหมดก่อนที่เธอจะเสียบชาร์จ
หลินไม่สามารถนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้ เธอจะแก้อาการเบื่อหน่ายนั้นด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาใช้ ระหว่างเดินไปขึ้นรถกลับบ้าน เธอก็ต้องโทรหาเพื่อน แม้แต่ยามที่เธอร่วมวงสนทนากับใครสักคน แล้วเรื่องที่พูดคุยนั้นจบลง เธอจะไม่ทนรอให้ประเด็นเรื่องใหม่ถูกเปิดขึ้น เป็นอันต้องรีบหยิบมือถือขึ้นมาแนบหูก่อนทุกที และเรื่องที่ใช้สนทนาผ่านสัญญาณก็ไม่พ้นเรื่องเม้าท์ตามประสาสาวๆ อย่างเคย และเมื่อเธอต้องเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่รู้จัก เธอมักจะเลี่ยงออกไปโทรเม้าท์กับเพื่อนสนิทเสมอ
ถ้าคุณมีพฤติกรรมไม่ต่างไปจากหลิน ยอมรับเถอะว่า คุณคือผู้หนึ่งที่เป็นโรคเสพติดการสื่อสารทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนอกจากโรคนี้จะทำลายสุขภาพสมองแล้ว ยังเป็นตัวบั่นทอนด้านต่างๆ ในการใช้ชีวิตอีกด้วย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรอบข้างจะสั่นคลอน เพราะคุณจะให้ความสำคัญกับบุคคลที่อยู่ปลายสายเท่านั้น โดยลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคุณ รอบข้างคุณ คือคนที่ใกล้ชิดกับคุณ ณ ขณะนั้นต่างหาก เหมือนดังโฆษณาตัวหนึ่ง ที่พ่อเอาแต่คุยโทรศัพท์ ปล่อยให้ลูกนั่งเล่นทรายเหงาหงอยอยู่คนเดียว หรือผู้ชายที่นั่งทำตัวไม่ถูก เพราะเพื่อนๆ ร่วมโต๊ะ ง่วนอยู่กับการคุยมือถือทุกคน ลูกชายคงเหงา ผู้ชายคนนั้นคงเซ็ง แล้วพวกเอ็งจะชวนข้ามากินข้าวเย็นด้วยทำไม(วะ)!
การใช้โทรศัพท์ตลอดเวลา ทำให้คุณพลาดที่จะได้พบเจอบุคคลน่าสนใจมากมาย แทนที่จะมีปฏิสัมพันธ์ใหม่ๆ คุณกลับได้แต่คุยอยู่กับคนเก่าๆ เม้าท์ชาวบ้านเรื่องเดิมๆ โดยไม่สนว่ารอบข้างยังมีเรื่องราวดีๆ อีกมาก คอยให้คุณได้รับรู้ จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คุณจะกลายเป็นกบที่ไม่ยอมออกมาดูโลกนอกกะลาเสียที
เชื่อหรือไม่ว่า คนที่ยึดโทรศัพท์มือถือเป็นสรณะในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ขับรถ ช้อปปิ้ง กินข้าว หรือในทุกกิจกรรมที่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับใคร แต่คนกลุ่มนี้กลับหาทางเจรจาพาทีกับคนอื่น(ทางโทรศัพท์)จนได้ คือคนที่มีความต้องการเป็นที่ยอมรับสูง การสื่อสารกับคนรอบข้างเป็นการย้ำความเชื่อมั่นให้กับเขาทางหนึ่ง การมีใครมาพูดคุยด้วยตลอดเวลา จะทำให้เขารู้สึกว่าตนยังเป็นที่ต้องการของเพื่อนๆ และยิ่งเพื่อนพูดคุยตอบกลับมาดีเท่าไร เขาจะรู้สึกเบาใจว่าในกลุ่มเพื่อนยังมีที่ทางให้เขายืนอยู่ ความเงียบในกลุ่มคนของคนจำพวกนี้ จึงเหมือนเป็นโลกว่างเปล่าที่เขาไม่มีตัวตน
การแก้ไขจึงต้องเริ่มจากต้นตอในจิตใจ คือสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเองว่าคุณสามารถเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างได้ โดยไม่จำเป็นต้องหาหนทางสื่อสารกับทุกคนตลอดเวลา การควบคุมตนเองไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือพร่ำเพรื่อ คือหนทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาโรคนี้ หากวันใดที่ลืมมือถือทิ้งไว้ที่บ้าน และถ้าคุณไม่ใช่นักธุรกิจที่มีมือถือเป็นดังอวัยวะที่ 33 แล้วล่ะก็ ขอให้คุณ 'ช่างมัน' กับการลืมนั้นเถอะ และเมื่อไรก็ตามที่คุณต้องอยู่ท่ามกลางความเงียบ จงห้ามใจแบบหักดิบตนเองไม่ให้หยิบมือถือขึ้นมาโทรไปหาใครทั้งสิ้น แต่จงหันเข้าหากิจกรรมอื่น เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง หรือกิจกรรมใดก็แล้วแต่ที่เป็นที่โปรดปรานของคุณ ยกเว้นคุยโทรศัพท์มือถือ หลินใช้วิธีนี้ในการบำบัดอาการเสพติดของเธอ แล้วมันก็ได้ผล เดี๋ยวนี้เธอไม่ใช่คนที่ติดมือถือแจอีกแล้ว
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนใดออกมาบอกว่าโลกนี้ขาดโทรศัพท์มือถือแล้วมนุษย์จะตาย ดังนั้นจงมั่นใจว่า ไม่ได้จับมือถือสักชั่วโมงสองชั่วโมง คุณไม่ขาดใจตายแน่ ฟันธง!
เคยดูภาพข่าวของโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เป็นภาพถนนในประเทศญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นและคนทำงานกำลังใช้โทรศัพท์มือถือกันแทบทุกคน ผู้บรรยายบอกว่า คนเมืองหลวงของประเทศนี้กำลังบ้าคลั่งกับการใช้โทรศัพท์มือถือเอามาก โดยเฉพาะวัยรุ่น ซึ่งผลสำรวจออกมาพบว่าบ่อยครั้งที่การใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กกลุ่มนี้ จะเป็นเพียงการโทรคุยกันในเรื่องทั่วไปเท่านั้น ซึ่งถ้าพูดเป็นภาษาบ้านๆ ก็คือการโทรไปเม้าท์กันธรรมดานี่เอง
วัยรุ่นไทยก็ใช่ว่าจะแพ้วัยรุ่นแดนปลาดิบเสียเมื่อไร โทรศัพท์มือถือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เรื่องน่าเป็นห่วงคือ หลายคนเป็นโรคเสพติดมือถือถึงขั้น 'ฉันลงแดงตายแน่ๆ ถ้าวันไหนเกิดลืมมือถือไว้ที่บ้าน หรือแบตเตอรี่มือถือหมด' แม้การเสพติดมือถือจะไม่ใช่โรคทางการแพทย์ แต่ในด้านจิตใจแล้ว นี่คือโรคทางใจอย่างหนึ่งที่สามารถมีผลกระทบต่อชีวิตได้
หลิน อายุ 23 ปี เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนที่เคยเป็นโรคนี้ หลินบอกว่าใบแจ้งเก็บค่าโทรศัพท์แต่ละเดือนของเธอเหยียบเจ็ดพันกว่าบาท บางเดือนก็ทะลุไปเกือบหลักหมื่น ถ้าเธอลืมมือถือไว้ที่บ้าน ต้องลนลานกลับไปเอา มิเช่นนั้น เธอจะอยู่อย่างปกติสุขไม่ได้ ที่ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ก็ต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา จึงไม่เคยมีสักครั้งที่แบตฯมือถือจะหมดก่อนที่เธอจะเสียบชาร์จ
หลินไม่สามารถนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้ เธอจะแก้อาการเบื่อหน่ายนั้นด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาใช้ ระหว่างเดินไปขึ้นรถกลับบ้าน เธอก็ต้องโทรหาเพื่อน แม้แต่ยามที่เธอร่วมวงสนทนากับใครสักคน แล้วเรื่องที่พูดคุยนั้นจบลง เธอจะไม่ทนรอให้ประเด็นเรื่องใหม่ถูกเปิดขึ้น เป็นอันต้องรีบหยิบมือถือขึ้นมาแนบหูก่อนทุกที และเรื่องที่ใช้สนทนาผ่านสัญญาณก็ไม่พ้นเรื่องเม้าท์ตามประสาสาวๆ อย่างเคย และเมื่อเธอต้องเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่รู้จัก เธอมักจะเลี่ยงออกไปโทรเม้าท์กับเพื่อนสนิทเสมอ
ถ้าคุณมีพฤติกรรมไม่ต่างไปจากหลิน ยอมรับเถอะว่า คุณคือผู้หนึ่งที่เป็นโรคเสพติดการสื่อสารทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนอกจากโรคนี้จะทำลายสุขภาพสมองแล้ว ยังเป็นตัวบั่นทอนด้านต่างๆ ในการใช้ชีวิตอีกด้วย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรอบข้างจะสั่นคลอน เพราะคุณจะให้ความสำคัญกับบุคคลที่อยู่ปลายสายเท่านั้น โดยลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคุณ รอบข้างคุณ คือคนที่ใกล้ชิดกับคุณ ณ ขณะนั้นต่างหาก เหมือนดังโฆษณาตัวหนึ่ง ที่พ่อเอาแต่คุยโทรศัพท์ ปล่อยให้ลูกนั่งเล่นทรายเหงาหงอยอยู่คนเดียว หรือผู้ชายที่นั่งทำตัวไม่ถูก เพราะเพื่อนๆ ร่วมโต๊ะ ง่วนอยู่กับการคุยมือถือทุกคน ลูกชายคงเหงา ผู้ชายคนนั้นคงเซ็ง แล้วพวกเอ็งจะชวนข้ามากินข้าวเย็นด้วยทำไม(วะ)!
การใช้โทรศัพท์ตลอดเวลา ทำให้คุณพลาดที่จะได้พบเจอบุคคลน่าสนใจมากมาย แทนที่จะมีปฏิสัมพันธ์ใหม่ๆ คุณกลับได้แต่คุยอยู่กับคนเก่าๆ เม้าท์ชาวบ้านเรื่องเดิมๆ โดยไม่สนว่ารอบข้างยังมีเรื่องราวดีๆ อีกมาก คอยให้คุณได้รับรู้ จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คุณจะกลายเป็นกบที่ไม่ยอมออกมาดูโลกนอกกะลาเสียที
เชื่อหรือไม่ว่า คนที่ยึดโทรศัพท์มือถือเป็นสรณะในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ขับรถ ช้อปปิ้ง กินข้าว หรือในทุกกิจกรรมที่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับใคร แต่คนกลุ่มนี้กลับหาทางเจรจาพาทีกับคนอื่น(ทางโทรศัพท์)จนได้ คือคนที่มีความต้องการเป็นที่ยอมรับสูง การสื่อสารกับคนรอบข้างเป็นการย้ำความเชื่อมั่นให้กับเขาทางหนึ่ง การมีใครมาพูดคุยด้วยตลอดเวลา จะทำให้เขารู้สึกว่าตนยังเป็นที่ต้องการของเพื่อนๆ และยิ่งเพื่อนพูดคุยตอบกลับมาดีเท่าไร เขาจะรู้สึกเบาใจว่าในกลุ่มเพื่อนยังมีที่ทางให้เขายืนอยู่ ความเงียบในกลุ่มคนของคนจำพวกนี้ จึงเหมือนเป็นโลกว่างเปล่าที่เขาไม่มีตัวตน
การแก้ไขจึงต้องเริ่มจากต้นตอในจิตใจ คือสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเองว่าคุณสามารถเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างได้ โดยไม่จำเป็นต้องหาหนทางสื่อสารกับทุกคนตลอดเวลา การควบคุมตนเองไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือพร่ำเพรื่อ คือหนทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาโรคนี้ หากวันใดที่ลืมมือถือทิ้งไว้ที่บ้าน และถ้าคุณไม่ใช่นักธุรกิจที่มีมือถือเป็นดังอวัยวะที่ 33 แล้วล่ะก็ ขอให้คุณ 'ช่างมัน' กับการลืมนั้นเถอะ และเมื่อไรก็ตามที่คุณต้องอยู่ท่ามกลางความเงียบ จงห้ามใจแบบหักดิบตนเองไม่ให้หยิบมือถือขึ้นมาโทรไปหาใครทั้งสิ้น แต่จงหันเข้าหากิจกรรมอื่น เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง หรือกิจกรรมใดก็แล้วแต่ที่เป็นที่โปรดปรานของคุณ ยกเว้นคุยโทรศัพท์มือถือ หลินใช้วิธีนี้ในการบำบัดอาการเสพติดของเธอ แล้วมันก็ได้ผล เดี๋ยวนี้เธอไม่ใช่คนที่ติดมือถือแจอีกแล้ว
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนใดออกมาบอกว่าโลกนี้ขาดโทรศัพท์มือถือแล้วมนุษย์จะตาย ดังนั้นจงมั่นใจว่า ไม่ได้จับมือถือสักชั่วโมงสองชั่วโมง คุณไม่ขาดใจตายแน่ ฟันธง!