บ้านไม้สองชั้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บรรยากาศกำลังโพล้เพล้ เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่ในเปล มารดากำลังหั่นผักอยู่ในครัว นาฬิกาที่ข้างฝาตีบอกเวลา 19นาฬิกา ทันใดนั้นเด็กน้อยก็ร้องแผดเสียงออกมา มารดาวิ่งเข้ามาดูเพราะว่าลูกน้อยร้องเสียงดังกว่าทุกครั้ง เธอพยายามหาดูว่าบนเปลมีอะไรผิดสังเกตหรือไม่ ลองเอานมให้ดูด เด็กก็ไม่ยอมดูด ยังคงร้องเสียงดังเท้าสองข้างชี้ฟ้า มีหยุดหายใจเฮือกๆเป็นระยะๆ ... ผ่านไปจนถึงสามทุ่มกว่าๆ เด็กก็หยุดร้องและหลับไป
วันต่อมา ช่วงเย็นๆเช่นกัน... หลังจากอาบน้ำและให้กินนมเสร็จ เธอก็เล่นกับลูก ระหว่างกำลังเล่นอยู่นั้นเอง ทารกน้อยที่กำลังยิ้มหัวเราะอยู่ จู่ๆก็ร้องแผดเสียงและนอนเหวี่ยงแขนไปมา มีอาการกลั้นหายใจเป็นพักๆ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตามเด็กก็ไม่หยุด เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ คุณยายบ้านข้างๆเดินเข้ามาดูถามว่ามีอะไรไหม พอเห็นดังนั้นก็เอาสร้อยพระออกจากคอมากลัดไว้ที่เสื้อเด็กแล้วขอเด็กมาอุ้ม ยายอุ้มเด็กลงเกวแล้วกล่อมให้ ราวๆ15นาทีเด็กก็หยุดร้อง กลับมาเล่นเหมือนเดิม... สักพักนึง ยายก็เอาพระออกแล้วก็กลับไป
วันที่สาม มารดานั่งเฝ้าทารกน้อย... เธอกล่อมลูกจนหลับไปแล้ว ตามองไปที่นาฬิกาอย่างสงสัย พอนาฬิกาตีหนึ่งครั้งบอกเวลา1ทุ่มตรง เธอก็มองดูลูก.. เด็กน้อยนอนหลับสนิท หน้าอกขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เธอแอบถอนหายใจเล็กๆแล้วลุกเดินไปที่ห้องครัว ก่อนจะหันมามองลูกน้อยอีกครั้ง และเธอก็เห็นเด็กน้อย ชูแขนขาทั้งสองข้างขึ้น.....
ช่วงนี้มีภาพยนต์เรื่องหนึ่งซึ่งกำลังจะเข้าฉาย โดยใช้ชื่อเรื่องจากชื่อภาวะอาการหนึ่งในเด็กทารก ผมคงจะไม่สะกิดใจและคงจะไม่เอามาเล่า ถ้าหากว่าภาพยนต์เรื่องนี้ไม่ได้ใช้คำโปรยว่า "ปรากฎการณ์ที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้" ... ที่จริงมันก็หลักการโฆษณาเฉยๆล่ะนะ
อาการโคลิคนี้ มีชื่อเรียกภาษาไทยที่รู้จักกันดีว่า"ร้อง3เดือน" บางคนที่ไม่เข้าใจหรือไม่เคยเห็นมาก่อนคงจะงง เพราะว่าขึ้นชื่อว่าเด็กทารกก็ตองร้องไห้เป็นธรรมดา แต่ที่จริงเจ้าอาการโคลิคนี้มันไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด และถือเป็นอาการที่ก่อปัญหาและคามกังวลใจให้พ่อแม่ได้ไม่น้อย
เจ้าชื่อโคลิคนี้ ภาษาอังกฤษเขียนว่า Colic ที่มาของชื่อได้มาจากการที่หมอตะวันตกจะสังเกตพบว่าอาการร้องของเด็กกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายเวลาเด็กปวดท้องลำไส้บิด ซึ่งจะร้องเสียงดังและกล่อมไม่หยุด
ช่วงแรกจึงเชื่อกันว่าเกิดจากการทำงานของลำไส้ผิดปกติ ... การรักษาคือการให้ยาทางลำไส้ต่างๆ
ต่อมา ค้นคว้ามากขึ้น ก็มีข้อเสนอว่าน่าจะเป็นกลุ่มอาการจากการแพ้นมวัว และลักษณะของลมชักของลำไส้ ...
ต่อมา ก็เลยถือกันว่า อะไรหาสาเหตุได้ก็ไม่ใช่โคลิค แต่ให้จัดว่าเป็นความผิดปกติเรื่องนั้นๆไปเลย เช่นเด็กแพ้นมวั ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นโคลิค
ดังนั้นโคลิคในปัจจุบันก็คืออาการร้องไห้จ้าโดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด (และไม่ต้องแปลกใจถ้าไปดูบางตำราแล้วเขาบอกว่ามีสาเหตุต่างๆ เพราะสุดท้ายในนั้นจะมีกลุ่มที่หาสาเหตุไม่ได้อยู่ดี)
อาการของโรคร้อง3เดือนนี้ มีหลักการวินิจฉัยอยู่
1. หลักเลข3 คือ เด็กอายุน้อยกว่า3เดือน ร้องเกิน3ชั่วโมง อาการมากกว่า3วันในหนึ่งสัปดาห์ เป็นติดต่อกันนานกว่า3สัปดาห์
2. ร้องอย่างรุนแรงสุดแรงเกิด อย่างที่ภาษาไทยเรียกว่าแผดเสียงจ้า
3. เกร็งตัว หรือชูแขนขา
4. ปลอบยังไงก็ไม่สงบ
5. ตรวจร่างกายปกติ
-แล้วถ้าเด็กเกิดเป็นโคลิคจะทำอย่างไร
ข้อควรจำแรกคือ ต้องมองว่ามันไม่ใช่โคลิคไว้ก่อน เพราะถ้าเป็นโคลิคจริงรักษายังไงก็ไม่หายแต่ไม่รักษาก็ไม่เป็นอะไร ในขณะที่หากมันไม่ใช่โคลิคแต่เด็กร้องไห้จากสาเหตุอื่นก็สามารถแก้ไขได้โดยตรง
-งั้นถ้าสงสัยลูกจะเป็นโคลิค จะเริ่มจัดการอย่างไร
จัดการตามสาเหตุครับ โดยเริ่มจากสาเหตุต่างๆที่เจอได้บ่อย
หิว : เมื่อเด็กหิวก็ย่อมร้องกวน แต่เด็กจะร้องแบบธรรมดา หากเด็กได้นมแล้วนอนหลับก็แปลว่าไม่ใช่โคลิค
เหนียวเหนอะหนะ : เปียกฉี่เปื้อนอึเหนียวตัว สามารถทำให้เกิดผดผื่นไม่สบายตัวจนทำให้เด็กร้องได้ ถ้าลองเปิดดูผ้าอ้อมหรือเช็ดตัวเปลี่ยนชุดให้หายเหนียวไม่สบายตัวแล้เด็กหยุดร้องได้ ก็ไม่ใช่โคลิค
อิ่มเกิน ไม่ได้เรอ : เด็กทารกจะมีกลไกการดูดนมคือ ถ้ามีของในปากเด็กก็จะดูดไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุดไม่ว่าจะอิ่มหรือยังหรือมีนมให้ดูดหรือเปล่า จะพบมากในเด็กที่มารดาให้ดูดนมขวด พอนมหมดเด็กก็จะดูดลมไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุดแบบเดียวกับปลาทอง ดังนั้นถ้าเด็กร้องจนอาเจียนแล้วหยุดร้อง หรือพอจับพาดบ่าลูบหลังให้เรอแล้วเด็กหยุดร้อง นั่นก็ไม่ใช่โคลิค
อาหารที่กินเข้าไป : ปัญหาที่พบได้บ่อยก็คืออาหารไม่สะอาด เด็กเกิดลมในลำไส้มากหรือเกิดอาการอาหารเป็นพิษอย่างอ่อนๆ เด็กก็จะปวดท้องและร้องแบบปวดท้อง อีกอย่างคืออาการแพ้นมวัว ซึ่งก็มักพิสูจน์ไม่ได้จนกว่าจะได้ตรวจอุจจาระ ... ดังนั้นทางที่ดีคือการป้องกันโดยให้เด็กดูดนมแม่ตั้งแต่แรกคลอด หรือถ้าให้เด็กดูดนมชงมาแต่ต้น ก็ต้องปรับปรุงความสะอาดและเปลี่ยนไปใช้นมสูตรปราศจากนมวัว ถ้าหายก็แปลว่าไม่ใช่โคลิค
อาหารที่เด็กกินไม่ได้ : เจอบ้างที่คนที่เลี้ยงเอาข้าวเป็นเม็ดๆให้เด็กกิน ซึ่งเด็กอายุ1-2เดือนกินอาหารแบบนี้ไปก็คงย่อยไม่ได้
ถ่ายไม่ออก : เด็กที่กินนมแม่จะขี้ง่ายถ่ายคล่อง แต่เด็กที่กินนมชงโดยเฉพาะหากชงผิดวิธี มักจะขี้แข็ง ... เด็กท้องผูกก็ร้องได้
โรคบางอย่าง : เด็กที่เป็นหูอักเสบ มีแผลฝีหนอง หรือมีน้ำมูกมากหายใจไม่ออก ก็ร้องได้
อุบัติเหตุ : เคยเจอรายงานเด็กร้องไม่มีสาเหตุบางราย แต่พอเอามาตรวจที่รพ.ก็พบว่า ถุงคลุมมือเด็กทารก มีเศษด้ายไปพันนิ้วเด็กจนดำเน่าโดยที่คนเลี้ยงไม่ได้สังเกต หรือบางครั้งตรวจร่างกายพบรอยบาดแผลตามตัวเหมือนเข็มแทง พอดูไปดูมาก็พบว่ามีเข็มกลัดที่กลัดไม่ดีไม่ซ่อนปลายทิ่มตัวเด็กอยู่
ละเลย : เด็กบางคนถูกพ่อแม่พามาโดยที่พ่อแม่บอกว่าลูกเป็นโรคร้องสามเดือนเพราะอาการเหมือนในหนังสือ แต่ตรวจเจอรอยยุงกัดมดกัดเต็มไปหมด ก็เลยรู้ว่าพ่อแม่เข้าใจว่าโรคนี้ปลอบยังไงก็ไม่หาย พอเด็กร้องไห้ก็เลยปล่อยทิ้งไว้(จนยุงกัดเต็มตัว)... สรุปว่าเด็กน่าจะร้องเพราะโดนยุงกัดเต็มตัวมากกว่า
ดังนั้นควรหาสาเหตุต่างๆเรียงมาทั้งหมดก่อนครับ ถ้าหาไม่ได้แล้วค่อยไปคิดว่าเป็นโคลิค หรือถ้าเด็กร้องนานผิดปกติเกิน4-5ชั่วโมงก็ควรพามาหาหมอ
-เกิดเป็นโคลิคจริง ควรทำอย่างไร
ผมไปเปิดหนังสือ Nelson''''s textbook of pediatrics ซึ่งถือเป็นstandard textbookเล่มหนึ่งของแผนกกุมารเวชศาสตร์ เล่มปี1969(Ed 9)และ1987(Ed13) เขียนไว้เท่าๆกันก็คือ อาจจะใช้ยากลุ่มยาขับลมและยานอนหลับกล่อมประสาทในรายที่มั่นใจว่าเป็นโรคนี้จริง แต่ผลที่ได้ก็มักไม่น่าพอใจ มีเขียนไว้อีกหน่อยว่า อาจจะใช้วิธีอุ้มทารกพาดบ่า วางบนตัก หรือไม่ก็วางเด็กบนกระเป๋าน้ำอุ่น...
การรักษาแบบพื้นบ้านของทั้งไทยและเทศ ก็คล้ายๆกันก็คือ อุ้มเด็กไว้หรือไม่ก็เอาเด็กลงไกวเปลแล้วเห่กล่อม ซึ่งก็ได้ผลพอสมควรทั้งในการศึกษาทางการแพทย์และในหนังสือการเลี้ยงเด็กของไทยและต่างประเทศ
การรักษาจริงๆมีแค่นี้ครับ แต่มีข้อสำคัญที่สุดคือคนในบ้านต้องทำใจให้ได้ว่าเด็กจะร้องแบบนี้อีก2-3สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ และอย่าเครียด ... ดังนั้นเมื่อเด็กมีอาการและหาสาเหตุไม่ได้ก็น่าจะพาไปหาหมอหรือหมอเด็กสักครั้ง หากได้การวินิจฉัยที่ชัดเจนว่าเป็นโคลิคโดยไม่มีโรคอื่นแฝงอยู่ ก็จะได้ไม่ต้องเครียด
โดยสรุปโรคโคลิคเป็นคร่าวๆอย่างที่ได้บอกไปครับ ทีนี้หันกลับมาตรงเหตุผลที่ผมคิดว่าโคลิค เด็กไม่น่าจะเห็นผี ก็เพราะว่า พัฒนาการทางสายตาและสมองของเด็กอายุไม่เกินสามเดือน ยังไม่ดีพอที่จะแยกได้ว่าใคเป็นใคร ยังไม่มีความกลัวคนแปลกหน้า ดังนั้น การที่จะเห็นผีจนตกใจร้องไห้ หรือสรุปว่าเห็นผีเนื่องมาจากเป็นปรากฎการณ์ที่วิทยาศาสตร์ไม่มีคำอธิบายคงเป็นการสรุปแบบเกินความจริงไปนิด
ไม่งั้นไมเกรน ตาขยิบ ริดสีดวง มะเร็ง ก็คงเป็นเรื่องผีๆทั้งนั้น
ดูหนังให้สนุกนะครับ
วันต่อมา ช่วงเย็นๆเช่นกัน... หลังจากอาบน้ำและให้กินนมเสร็จ เธอก็เล่นกับลูก ระหว่างกำลังเล่นอยู่นั้นเอง ทารกน้อยที่กำลังยิ้มหัวเราะอยู่ จู่ๆก็ร้องแผดเสียงและนอนเหวี่ยงแขนไปมา มีอาการกลั้นหายใจเป็นพักๆ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตามเด็กก็ไม่หยุด เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ คุณยายบ้านข้างๆเดินเข้ามาดูถามว่ามีอะไรไหม พอเห็นดังนั้นก็เอาสร้อยพระออกจากคอมากลัดไว้ที่เสื้อเด็กแล้วขอเด็กมาอุ้ม ยายอุ้มเด็กลงเกวแล้วกล่อมให้ ราวๆ15นาทีเด็กก็หยุดร้อง กลับมาเล่นเหมือนเดิม... สักพักนึง ยายก็เอาพระออกแล้วก็กลับไป
วันที่สาม มารดานั่งเฝ้าทารกน้อย... เธอกล่อมลูกจนหลับไปแล้ว ตามองไปที่นาฬิกาอย่างสงสัย พอนาฬิกาตีหนึ่งครั้งบอกเวลา1ทุ่มตรง เธอก็มองดูลูก.. เด็กน้อยนอนหลับสนิท หน้าอกขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เธอแอบถอนหายใจเล็กๆแล้วลุกเดินไปที่ห้องครัว ก่อนจะหันมามองลูกน้อยอีกครั้ง และเธอก็เห็นเด็กน้อย ชูแขนขาทั้งสองข้างขึ้น.....
ช่วงนี้มีภาพยนต์เรื่องหนึ่งซึ่งกำลังจะเข้าฉาย โดยใช้ชื่อเรื่องจากชื่อภาวะอาการหนึ่งในเด็กทารก ผมคงจะไม่สะกิดใจและคงจะไม่เอามาเล่า ถ้าหากว่าภาพยนต์เรื่องนี้ไม่ได้ใช้คำโปรยว่า "ปรากฎการณ์ที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้" ... ที่จริงมันก็หลักการโฆษณาเฉยๆล่ะนะ
อาการโคลิคนี้ มีชื่อเรียกภาษาไทยที่รู้จักกันดีว่า"ร้อง3เดือน" บางคนที่ไม่เข้าใจหรือไม่เคยเห็นมาก่อนคงจะงง เพราะว่าขึ้นชื่อว่าเด็กทารกก็ตองร้องไห้เป็นธรรมดา แต่ที่จริงเจ้าอาการโคลิคนี้มันไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด และถือเป็นอาการที่ก่อปัญหาและคามกังวลใจให้พ่อแม่ได้ไม่น้อย
เจ้าชื่อโคลิคนี้ ภาษาอังกฤษเขียนว่า Colic ที่มาของชื่อได้มาจากการที่หมอตะวันตกจะสังเกตพบว่าอาการร้องของเด็กกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายเวลาเด็กปวดท้องลำไส้บิด ซึ่งจะร้องเสียงดังและกล่อมไม่หยุด
ช่วงแรกจึงเชื่อกันว่าเกิดจากการทำงานของลำไส้ผิดปกติ ... การรักษาคือการให้ยาทางลำไส้ต่างๆ
ต่อมา ค้นคว้ามากขึ้น ก็มีข้อเสนอว่าน่าจะเป็นกลุ่มอาการจากการแพ้นมวัว และลักษณะของลมชักของลำไส้ ...
ต่อมา ก็เลยถือกันว่า อะไรหาสาเหตุได้ก็ไม่ใช่โคลิค แต่ให้จัดว่าเป็นความผิดปกติเรื่องนั้นๆไปเลย เช่นเด็กแพ้นมวั ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นโคลิค
ดังนั้นโคลิคในปัจจุบันก็คืออาการร้องไห้จ้าโดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด (และไม่ต้องแปลกใจถ้าไปดูบางตำราแล้วเขาบอกว่ามีสาเหตุต่างๆ เพราะสุดท้ายในนั้นจะมีกลุ่มที่หาสาเหตุไม่ได้อยู่ดี)
อาการของโรคร้อง3เดือนนี้ มีหลักการวินิจฉัยอยู่
1. หลักเลข3 คือ เด็กอายุน้อยกว่า3เดือน ร้องเกิน3ชั่วโมง อาการมากกว่า3วันในหนึ่งสัปดาห์ เป็นติดต่อกันนานกว่า3สัปดาห์
2. ร้องอย่างรุนแรงสุดแรงเกิด อย่างที่ภาษาไทยเรียกว่าแผดเสียงจ้า
3. เกร็งตัว หรือชูแขนขา
4. ปลอบยังไงก็ไม่สงบ
5. ตรวจร่างกายปกติ
-แล้วถ้าเด็กเกิดเป็นโคลิคจะทำอย่างไร
ข้อควรจำแรกคือ ต้องมองว่ามันไม่ใช่โคลิคไว้ก่อน เพราะถ้าเป็นโคลิคจริงรักษายังไงก็ไม่หายแต่ไม่รักษาก็ไม่เป็นอะไร ในขณะที่หากมันไม่ใช่โคลิคแต่เด็กร้องไห้จากสาเหตุอื่นก็สามารถแก้ไขได้โดยตรง
-งั้นถ้าสงสัยลูกจะเป็นโคลิค จะเริ่มจัดการอย่างไร
จัดการตามสาเหตุครับ โดยเริ่มจากสาเหตุต่างๆที่เจอได้บ่อย
หิว : เมื่อเด็กหิวก็ย่อมร้องกวน แต่เด็กจะร้องแบบธรรมดา หากเด็กได้นมแล้วนอนหลับก็แปลว่าไม่ใช่โคลิค
เหนียวเหนอะหนะ : เปียกฉี่เปื้อนอึเหนียวตัว สามารถทำให้เกิดผดผื่นไม่สบายตัวจนทำให้เด็กร้องได้ ถ้าลองเปิดดูผ้าอ้อมหรือเช็ดตัวเปลี่ยนชุดให้หายเหนียวไม่สบายตัวแล้เด็กหยุดร้องได้ ก็ไม่ใช่โคลิค
อิ่มเกิน ไม่ได้เรอ : เด็กทารกจะมีกลไกการดูดนมคือ ถ้ามีของในปากเด็กก็จะดูดไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุดไม่ว่าจะอิ่มหรือยังหรือมีนมให้ดูดหรือเปล่า จะพบมากในเด็กที่มารดาให้ดูดนมขวด พอนมหมดเด็กก็จะดูดลมไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุดแบบเดียวกับปลาทอง ดังนั้นถ้าเด็กร้องจนอาเจียนแล้วหยุดร้อง หรือพอจับพาดบ่าลูบหลังให้เรอแล้วเด็กหยุดร้อง นั่นก็ไม่ใช่โคลิค
อาหารที่กินเข้าไป : ปัญหาที่พบได้บ่อยก็คืออาหารไม่สะอาด เด็กเกิดลมในลำไส้มากหรือเกิดอาการอาหารเป็นพิษอย่างอ่อนๆ เด็กก็จะปวดท้องและร้องแบบปวดท้อง อีกอย่างคืออาการแพ้นมวัว ซึ่งก็มักพิสูจน์ไม่ได้จนกว่าจะได้ตรวจอุจจาระ ... ดังนั้นทางที่ดีคือการป้องกันโดยให้เด็กดูดนมแม่ตั้งแต่แรกคลอด หรือถ้าให้เด็กดูดนมชงมาแต่ต้น ก็ต้องปรับปรุงความสะอาดและเปลี่ยนไปใช้นมสูตรปราศจากนมวัว ถ้าหายก็แปลว่าไม่ใช่โคลิค
อาหารที่เด็กกินไม่ได้ : เจอบ้างที่คนที่เลี้ยงเอาข้าวเป็นเม็ดๆให้เด็กกิน ซึ่งเด็กอายุ1-2เดือนกินอาหารแบบนี้ไปก็คงย่อยไม่ได้
ถ่ายไม่ออก : เด็กที่กินนมแม่จะขี้ง่ายถ่ายคล่อง แต่เด็กที่กินนมชงโดยเฉพาะหากชงผิดวิธี มักจะขี้แข็ง ... เด็กท้องผูกก็ร้องได้
โรคบางอย่าง : เด็กที่เป็นหูอักเสบ มีแผลฝีหนอง หรือมีน้ำมูกมากหายใจไม่ออก ก็ร้องได้
อุบัติเหตุ : เคยเจอรายงานเด็กร้องไม่มีสาเหตุบางราย แต่พอเอามาตรวจที่รพ.ก็พบว่า ถุงคลุมมือเด็กทารก มีเศษด้ายไปพันนิ้วเด็กจนดำเน่าโดยที่คนเลี้ยงไม่ได้สังเกต หรือบางครั้งตรวจร่างกายพบรอยบาดแผลตามตัวเหมือนเข็มแทง พอดูไปดูมาก็พบว่ามีเข็มกลัดที่กลัดไม่ดีไม่ซ่อนปลายทิ่มตัวเด็กอยู่
ละเลย : เด็กบางคนถูกพ่อแม่พามาโดยที่พ่อแม่บอกว่าลูกเป็นโรคร้องสามเดือนเพราะอาการเหมือนในหนังสือ แต่ตรวจเจอรอยยุงกัดมดกัดเต็มไปหมด ก็เลยรู้ว่าพ่อแม่เข้าใจว่าโรคนี้ปลอบยังไงก็ไม่หาย พอเด็กร้องไห้ก็เลยปล่อยทิ้งไว้(จนยุงกัดเต็มตัว)... สรุปว่าเด็กน่าจะร้องเพราะโดนยุงกัดเต็มตัวมากกว่า
ดังนั้นควรหาสาเหตุต่างๆเรียงมาทั้งหมดก่อนครับ ถ้าหาไม่ได้แล้วค่อยไปคิดว่าเป็นโคลิค หรือถ้าเด็กร้องนานผิดปกติเกิน4-5ชั่วโมงก็ควรพามาหาหมอ
-เกิดเป็นโคลิคจริง ควรทำอย่างไร
ผมไปเปิดหนังสือ Nelson''''s textbook of pediatrics ซึ่งถือเป็นstandard textbookเล่มหนึ่งของแผนกกุมารเวชศาสตร์ เล่มปี1969(Ed 9)และ1987(Ed13) เขียนไว้เท่าๆกันก็คือ อาจจะใช้ยากลุ่มยาขับลมและยานอนหลับกล่อมประสาทในรายที่มั่นใจว่าเป็นโรคนี้จริง แต่ผลที่ได้ก็มักไม่น่าพอใจ มีเขียนไว้อีกหน่อยว่า อาจจะใช้วิธีอุ้มทารกพาดบ่า วางบนตัก หรือไม่ก็วางเด็กบนกระเป๋าน้ำอุ่น...
การรักษาแบบพื้นบ้านของทั้งไทยและเทศ ก็คล้ายๆกันก็คือ อุ้มเด็กไว้หรือไม่ก็เอาเด็กลงไกวเปลแล้วเห่กล่อม ซึ่งก็ได้ผลพอสมควรทั้งในการศึกษาทางการแพทย์และในหนังสือการเลี้ยงเด็กของไทยและต่างประเทศ
การรักษาจริงๆมีแค่นี้ครับ แต่มีข้อสำคัญที่สุดคือคนในบ้านต้องทำใจให้ได้ว่าเด็กจะร้องแบบนี้อีก2-3สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ และอย่าเครียด ... ดังนั้นเมื่อเด็กมีอาการและหาสาเหตุไม่ได้ก็น่าจะพาไปหาหมอหรือหมอเด็กสักครั้ง หากได้การวินิจฉัยที่ชัดเจนว่าเป็นโคลิคโดยไม่มีโรคอื่นแฝงอยู่ ก็จะได้ไม่ต้องเครียด
โดยสรุปโรคโคลิคเป็นคร่าวๆอย่างที่ได้บอกไปครับ ทีนี้หันกลับมาตรงเหตุผลที่ผมคิดว่าโคลิค เด็กไม่น่าจะเห็นผี ก็เพราะว่า พัฒนาการทางสายตาและสมองของเด็กอายุไม่เกินสามเดือน ยังไม่ดีพอที่จะแยกได้ว่าใคเป็นใคร ยังไม่มีความกลัวคนแปลกหน้า ดังนั้น การที่จะเห็นผีจนตกใจร้องไห้ หรือสรุปว่าเห็นผีเนื่องมาจากเป็นปรากฎการณ์ที่วิทยาศาสตร์ไม่มีคำอธิบายคงเป็นการสรุปแบบเกินความจริงไปนิด
ไม่งั้นไมเกรน ตาขยิบ ริดสีดวง มะเร็ง ก็คงเป็นเรื่องผีๆทั้งนั้น
ดูหนังให้สนุกนะครับ