โรคไมเกรน เป็นโรคที่สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั่วโลก และว่ากันว่ายังไม่มีวิธีการรักษาที่สามารถทำให้อาการปวดหายขาดได้ อย่างเก่งก็เป็นแค่เพียงการบรรเทาอาการปวดศีรษะให้ทุเลาลง
ถ้าจะจัดอันดับโรคยอดฮิตสำหรับชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน รับรองว่าอาการปวดศีรษะไมเกรนคงติดอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะคนที่มีชีวิตแบบ City Life ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการทำงานในสถานที่ทำงาน และต้องรับมือจากความเครียดในการใช้ชีวิต ไม่มีเวลาพักผ่อน และไม่มีโอกาสออกกำลังกาย ซึ่งอาการ ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นอาการ Office Syndrome
ในปัจจุบันคนไทยมีสถิติอาการปวดไมเกรนถึง 12% ของประชากรทั้งประเทศ และพบในกลุ่มผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนภาวะเนื้องอกในสมอง หรือการตกเลือดในสมองนั้นพบน้อยมาก ไม่ถึง 0.01% ของผู้ที่มีอาการปวดหัวทั้งหมด
แพทย์อายุรเวท แวร์สมิง แวหมะ
การศึกษา
- การแพทย์แผนไทยประยุกต์ อายุรเวทวิทยาลัย
- ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เวชศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล
- หลักสูตรการแพทย์ธรรมชาติบำบัด สาธารณรัฐประชาชนจีน
วิธีการรักษาอาการปวดไมเกรนอย่างเฉียบพลัน
การรักษาอาการไมเกรนในปัจจุบันผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษาอย่างจำกัด โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยต้องใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ซึ่งยาไม่สามารถรักษาอาการปวดให้หายขาดได้ เพราะเมื่อยาหมดฤทธิ์อาการปวดก็จะแสดงอาการขึ้นมาอีก ไม่มีการป้องกันการกลับมาของอาการปวด ยิ่งกว่านั้นยาแก้ปวดและยาป้องกันไมเกรนยิ่งมีผลกระทบต่อร่างกาย ทั้งกระเพาะอาหาร ตับ และไต เมื่อใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน แพทย์อายุรเวท แอร์สมิง แวหมะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน จากศูนย์รักษาไมเกรน Doctor Care อธิบายว่าในทางการแพทย์จะแบ่งอาการปวดศีรษะออกเป็น 2 ชนิด คือ
อาการปวดศีรษะชนิดเฉียบพลันซึ่งมักมีสาเหตุจากการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณโพรงจมูก คอ ปาก หู ตา
อาการปวดศีรษะเรื้อรังอันเป็นลักษณะของไมเกรนซึ่งเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อ แล้วเร่งผลให้หลอดเลือดในศีรษะขยายตัวและหดตัวมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดอาการปวดได้
หลายคนมองว่าอาการปวดศีรษะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเมื่อรู้สึกปวดแล้วทานยาหรือได้พักผ่อนอาการก็หายไปเอง แต่สำหรับบางรายที่มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงติดต่อกันนานหลายชั่วโมง หรือมีอาการปวดบริเวณเบ้าตา ตาพร่ามัว คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย และที่สำคัญยาแก้ปวดก็ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณของอาการไมเกรนที่จะเข้ามารบกวนความสุขในการดำเนินชีวิตของคุณ
ปัจจุบันการรักษาอาการไมเกรนมีให้เลือกหลายวิธี เช่น การใช้ยาทั้งยาระงับปวดและยาป้องกันอาการปวดซึ่งยาเหล่านี้ทานสะสมเป็นเวลานานจะส่งผลเสียข้างเคียงต่อตับและไต ทำให้เกิดการรักษาทางเลือกตามมา อาทิ การฝังเข็ม กลิ่นบำบัด โภชนาการบำบัด เป็นต้น
สำหรับศูนย์รักษาไมเกรนดอกเตอร์ แคร์ ได้คิดค้นพัฒนาการรักษาอาการปวดไมเกรนด้วยวิธีรักษาสมดุลธาตุ 4 (Balance of Four Elements Program; BFEP) ผสมผสานกับศาสตร์การกดจุดรักษาโรค (Musculoskeletal Manipulative Technique MMT) โดยปรับและกระตุ้นระบบการทำงานของกล้ามเนื้อ เพื่อปรับสมดุลการทำงานของหลอดเลือดแดงที่อยู่ภายนอกและภายในศีรษะ ซึ่งเป็นศาสตร์การรักษาที่ได้รับรางวัลผลวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2548 จากกระทรวงสาธารณสุข
ขั้นตอนการรักษา เริ่มจากวินิจฉัยโรคด้วยการซักประวัติ เพื่อเก็บข้อมูลอาการปวดว่าเป็นแบบใด ตำแหน่งที่ปวด เช่น กระบอกตา ขมับท้ายทอย หรือทั่วศีรษะ ความรุนแรงของอาการปวด ระยะเวลาที่ปวดในแต่ละครั้ง รวมถึงความถี่ของการปวดซึ่งแบ่งไว้ 6 ระดับ คือ ระดับ 0 ปวด 2-3 ครั้งต่อเดือน ระดับ 1 ปวดสั้นๆ ไม่กระทบการทำงาน ระดับ 2 ปวดแต่ทนได้ ระดับ 3 ปวดแล้วต้องทานยา มีอาการร่วม อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน ระดับ 4 ปวดแล้วทำงานไม่ได้ ยาไม่สามารถรักษาอาการให้บรรเทาได้ และระดับ 5 คือ ผู้ที่ปวดรุนแรงถึงขั้นไม่สามารถลุกจากที่นอนมาดำเนินชีวิตประจำวันได้
ต่อมาจึงเป็นการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของอาการว่าเกิดจากความผิดปกติส่วนใด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากสาเหตุของกล้ามเนื้อที่มีอาการเกร็งตัว เนื่องจากทำงานหนัก ขาดการพักผ่อนและการออกกำลังกาย สะสมจนกลายเป็นความตึงเครียด เมื่อมาเจอภาวะอากาศร้อนจัดหนาวจัด แสง สี เสียง ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของโปรแกรมบำบัดมีระยะเวลาทั้งหมด 5 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรก จะเป็นการนวดด้วยหลักกายภาพบำบัด เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวและกลับสู่ภาวะสมดุลในลักษณะใกล้เคียงกับช่วงก่อนมีอาการปวดไมเกรนมากที่สุด พอครั้งที่ 3 และ 4 เป็นการกดจุดบริเวณบ่าเพื่อบล็อกเลือดและออกซิเจนซึ่งเป็นการสร้างแรงดันในหลอดเลือด ทำให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น อีกทั้งแรงดันยังสามารถช่วยทำความสะอาดล้างแคลเซียมและพังผืดที่เกาะตามหลอดเลือดได้อีกด้วย ส่วนครั้งที่ 5 จะเป็นขั้นประเมินผลและฟื้นฟูอาการ ซึ่งแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 20-25 นาที
ผู้ที่เข้ามารับบริการกับศูนย์ฯ มีทั้งที่เป็นแบบเฉียบพลันและแบบเรื้องรัง โดยอาการปวดศีรษะจะลดลงภายในครั้งแรกของการรักษา ถ้าเป็นไมเกรนแบบเฉียบพลันจะมีอาการปวดศีรษะลดลงถึงร้อยละ 8 หรือหายจากอาการปวดศีรษะ หากรักษาอย่างต่อเนื่องสามารถป้องกันการกลับมาของไมเกรน โดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องทานยา
แนวทางการรักษาโดยเน้นทำให้การไหลเวียนของระบบโลหิต และระบบกล้ามเนื้อทำงานดีขึ้น ตามแบบของศูนย์รักษาไมเกรนดอกเตอร์ แคร์ จะช่วยยับยั้งการกลับมาของไมเกรนได้ไม่น้อยกว่าระยะติดตามผล 8 เดือน ทั้งนี้ ผู้รับบริการต้องดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงภาวะเครียด ทำงานหนัก งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ รวมถึงอาหารบางชนิด เช่น กล้วยหอม เนยแข็ง และช็อกโกเลต
แต่ถ้าหากต้องเผชิญภาวะดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรู้จักสังเกตอาการตนเอง เมื่อรู้สึกเหนื่อยจากการทำงานก็ให้หยุดพักเพื่อให้กล้ามเนื้อได้คลายตัว หรือเริ่มมีอาการปวดศีรษะ เบ้าตา ก็ให้อยู่ในที่สลัวๆ เพื่อพักสายตาหลับจากแสงจ้า ใช้น้ำอุ่นประคบบริเวณต้นคอ ขมับ และไม่ควรออกกำลังกายเพราะจะยิ่งเพิ่มความดันทำให้หลอดเลือดขยายตัวมากยิ่งขึ้น
เพียงเท่านี้ก็สามารถยืดอายุความสุข และขจัดปัญหารำคาญใจจากการปวดไมเกรนได้อย่างแน่นอน
BALANCE OF FOUR ELEMENTS PROGRAM (BFEP)
นวัตกรรมการรักษาที่ได้รางวัลผลงานวิจัยดีเด่นระดับชาติ
การดูแลกลไกการทำงานของร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพที่ดี ในสภาวะปกติทุก ระบบของร่างกายจะทำงานสัมพันธ์สอดคล้องกันตลอดเวลาเมื่อมีปัจจัยภายนอกมากระตุ้นต่อร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงหรือต่อเนื่องยาวนานเกินควรจะทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวรับสภาพนั้นได้ ระบบภายในร่างกายก็จะเสียสมดุลไป ทำให้นำไปสู่อาการเจ็บป่วยต่างๆ เช่นอาการ ไมเกรน อาการปวดเรื้อรัง อาการนอนไม่หลับ เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าวมีผลกระทบอย่างมากกับสุขภาพองค์รวมด้วย
กระบวนการรักษาแบบ BFEP เป็นการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับระบบต่างๆ ของ ร่างกายที่ทำงานผิดปกติไป เช่นระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบการไหลเวียนเลือด การรักษาแบบ BFEP จะพลิกฟื้นระบบต่างๆ ของร่างกายให้เข้าสู่สภาวะสมดุลอีกครั้งโดยจะช่วยเสริมให้มีการขับเคลื่อนการทำงานของอวัยวะต่างๆ รวมถึง กระบวนการทางจิตใจ ให้กลับมาทำงานสอดคล้องประสานกันทั้งระบบ ซึ่งทำให้กระบวนการนี้ เป็นกระบวนการรักษาสุขภาพที่ยั่งยืน
กระบวนการรักษาแบบ BFEP จะเริ่มจากการวินิจฉัยถึงอาการ และสาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บป่วย และทำการรักษาโดยการใช้โปรแกรมการสร้างความสมดุลของร่างกายโดยการบูรณาการความรู้ทางการแพทย์ แผนปัจจุบันร่วมกับเทคนิคการกดจุดที่ได้คิดค้น เพิ่มเติมโดยทีมแพทย์ของทางศูนย์ฯ เพื่อกระตุ้นการทำงาน ของระบบของทุกระบบในร่างกายร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อและการบริหารร่างกาย โดยกระบวนการดังกล่าว จะช่วยฟื้นฟูระบบต่างๆ ของร่างกาย ให้เข้าสู่สภาวะปกติได้ใหม่อีกครั้ง
เรื่องน่ารู้เมื่อมีอาการปวดไมเกรน
- การนวดบริเวณท้ายทอยหรือศีรษะด้วยตัวเองในขณะที่มีอาการปวด นอกจากจะทำให้อาการปวดบรรเทาลงแล้วยิ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็งตัวซึ่งเป็นเสมือนการกระตุ้นร่างกายให้รู้สึกปวดมากขึ้นไปอีก
- การกดจุดด้วยตัวเองเพื่อบรรเทาอาการปวด บางครั้งอาจเกิดการผิดพลาดในการลงน้ำหนักขณะกดจนทำให้เส้นเลือดเปราะแตก หรือมีอาการอื่นๆ แทรกซ้อน
- การไปพบแพทย์เพื่อกดจุดรักษาอาการปวดไมเกรนนั้นควรไปในขณะที่กำลังมีอาการปวดเพราะแพทย์ผู้กดจุดจะได้รู้ว่าอาการปวดนั้นเกิดจากกล้ามเนื้อมัดไหนที่มีปัญหา
ข้อห้ามสำหรับผู้ที่จะเข้ารักษาอาการปวดไมเกรนด้วยวิธี BFEP
- เคยประสบอุบัติเหตุบริเวณข้อต่อหรือต้นคอ
- เป็นโรคผิวหนังติดเชื้อ เพราะจะทำให้เกิดอาการอักเสบหรือติดเชื้อได้
- เมื่อมีอาการของไข้หวัดควรรอให้หายก่อนทำการรักษา
เรื่องลับๆ กับอาการปวดไมเกรน
คุณรู้หรือไม่ว่า
- อาการปวดไมเกรนคืออาการปวดกล้ามเนื้อซึ่งเกิดจากความเครียดซึ่งแตกต่างจากอาการปวดศีรษะทั่วไป
- ไมเกรนไม่ใช่โรค หากแต่เป็นอาการปวด
-ใ นวัยเด็กจะไม่มีอาการของไมเกรน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยังอยู่ในวัยที่ไม่มีความเครียด
- หากต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ควรปิดเครื่องเพื่อหยุดพักสายตาติดต่อกันอย่างน้อย 15 นาที
- ช็อกโกเลตเป็นของต้องห้ามสำหรับผู้มีอาการปวดไมเกรน เพราะช็อกโกเลตเผาผลาญยาก
- อาหารที่มีรสเผ็ดจัดกับอาหารที่มีกลิ่นแรงอย่างกระเทียมจะไปกระตุ้นบริเวณกล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้
- ผู้มีอาการปวดไมเกรนควรรับประทานผักที่มีคลอโรฟิลล์
- ผู้ที่มีความเครียดอันเกิดจากสภาพแวดล้อมในครอบครัวจะไม่สามารถรักษาอาการไมเกรนให้หายขาดได้ เพราะเมื่อรักษาแล้วก็ยังต้องกลับไปเจอกับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ซึ่งก่อให้เกิดความเครียด
ผลสรุปจากการรักษาอาการปวดไมเกรนด้วยโปรแกรม BFEP
จากกรณีศึกษาพบว่าผู้ป่วย 30 คน เมื่อรักษาด้วยโปรแกรม BFEB จำนวน 5 ครั้ง ภายใน 3 เดือน ผู้ป่วยมีจำนวนครั้งที่เป็นไมเกรนในช่วงการรักษา 3 เดือน ลดลงกว่าร้อยละ 95 โดยมีจำนวนครั้งที่ปวดศีรษะเฉลี่ยลดลงจาก 12 ครั้งต่อเดือนเหลือเพียงน้อยกว่า 1 ครั้งต่อเดือน และเมื่อสิ้นสุดการรักษาสามารถป้องกันการกลับมาของไมเกรนได้กว่าร้อยละ 90 ซึ่งนับเป็นการรักษาที่ให้ผลดีที่สุด เท่าที่มีการรายงานเรื่องของผลการรักษาไมเกรน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ