คุณแม่ตั้งครรภ์จะกลุ้มใจไปทำ ไม๊.ม..ม..
อาการและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ที่คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องเผชิญ แต่เพื่อแลกกับคำว่า "แม่" จากปากของเจ้าตัวเล็กที่จะเจื้อยแจ่มอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็นับว่าเกินคุ้มกับการเจ็บป่วยที่คุณไม่ปรารถนา อย่างเช่นการอาเจียนโอ๊กอ๊าก ที่เรียกว่าอาการแพ้ท้อง หรือการเปลี่ยนทางร่างกายที่คุณไม่เคยเป็นมาก่อน คุณแม่ที่รักสวยรักงามอาจตกใจแทบช็อคเมื่อเห็นรอยดำเป็นปื้นๆ ตามใบหน้า แขนขาฯลฯ คุณผู้หญิงที่เคยแข็งแรง กลับต้องมามีอาการปวดเอวปวดหลัง ก็มีสิทธิ์เป็นอย่างนั้นไปได้
อาการอย่างไรที่เกิดขึ้นได้เมื่อตอนตั้งครรภ์
1. อาเจียนจนหมดไส้หมดพุง (แพ้ท้อง)
ควรทำตัวอย่างไร
- หลังตื่นนอนให้ทานอาหารอ่อนรองท้องก่อน
- รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือซุป และควรรับประทานอาหารครั้งละน้อย ๆ ไม่ควรกินจนอิ่มแน่น
- หากมีการอาเจียนบ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมาก ฉะนั้นควรดื่มน้ำในปริมาณมากๆ อาจจะเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ก็ได้ (แต่ไม่ควรดื่มมากๆ หลังจากรับประทานอาหาร)
- หลีกเลี่ยงจากกลิ่นที่ทำให้แพ้
- พักผ่อนเพิ่มขึ้น หาวิธีทำให้ตัวเองผ่อนคลายด้วยการฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้คุณรู้สึกคลายเครียด
2. เจ็บเจ้าสองเต้าบนหน้า อก (เจ็บเต้านม)
เมื่อก่อนที่คุณยังเป็นสาว เวลาที่จะมีประจำเดือน ก่อนหน้านั้นคุณจะมีอาการปวดตึงเต้านม แต่เมื่อมีการตั้งครรภ์ อาการจะรุนแรงมากขึ้นจนปวดเหมือนแทบจะปริ ไม่ต้องตกใจ เพราะร่างกายมีการเตรียมพร้อมเพื่อสร้างน้ำนมสำหรับทารก ต่อมน้ำนมจึงมีการขยายใหญ่ขึ้น
หัวนมก็เช่นกัน หัวนมสีชมพูของคุณจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำและใหญ่ขึ้น บริเวณลานหัวนมขยายใหญ่และแข็งขึ้น บางท่านอาจพบตุ่มเล็กๆ คล้ายหัวสิวเกิดขึ้นได้
ควรทำตัวอย่างไร
ไม่ต้องตกใจ เพราะหลังจากคลอดอาการต่างๆ จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ทำความสะอาดตามปกติอย่างที่เคยปฏิบัติมา สำหรับคุณแม่ที่หัวนมผิดปกติ เช่น หัวนมบอด ยาว สั้น ควรพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ไข เพื่อให้เจ้าหนูที่กำลังจะเกิดมาทานนมแม่ได้อย่างไม่มีปัญหา
3. ตกขาวไม่น่าตกใจ (ตกขาวเพิ่มขึ้น)
เป็นเรื่องปกติสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่จะมีตกขาวหรือฤดูขาวเพิ่มมากขึ้น หากเป็นตกขาวที่ปกติ คือไม่มีสีที่ผิดปกติ ไม่มีอาการคัน ไม่มีกลิ่น ไม่ต้องตกใจ เพราะสิ่งที่ทำให้ตกขาวมีเพิ่มมากขึ้นเช่นนี้เป็นผลมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
ควรทำตัวอย่างไร
ไม่ต้องตกใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องปกติ ควรทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด ไม่จำเป็นต้องสวนล้างช่องคลอดหรือเหน็บยาแต่อย่างไร หากไม่แน่ใจหรือมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
4. ว้า! เข้าห้องน้ำอีกแล้ว (ปัสสาวะบ่อย)
ปัสสาวะบ่อย เมื่ออายุครรภ์เพิ่มขึ้น อวัยวะต่างๆ ของทารกเจริญเติบโตขึ้น ทำให้มดลูกขยายตัวมากขึ้นจึงไปเบียดกดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะซึ่งเคยเก็บปัสสาวะได้มาก ก็เก็บได้น้อยลง จึงทำให้คุณแม่ปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งจะพบในช่วงแรกและช่วงท้ายๆของการตั้งครรภ์ (ช่วงที่ทารกกลับหัวเพื่อเตรียมพร้อมสู่การคลอด) ฉะนั้นกระเพาะปัสสาวะจึงถูกเบียดให้เก็บปัสสาวะได้ด้วยลง
ควรทำตัวอย่างไร
หากคุณรู้สึกหงุดหงิดเพราะต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะลดการดื่มน้ำ เพื่อที่จะลดการปัสสาวะ การดื่มน้ำน้อยอาจส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย อีกทั้งไม่ควรกลั้นปัสสาวะ เพราะอาจมีผลทำให้เกิดภาวะการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างได้
5. ต๊กกะใจลุกเดินไม่ได้เลย (เป็นตะคริว)
คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ มักจะเกิดอาการเป็นตะคริวได้บ่อยครั้งกว่าคนทั่วไป สาเหตุของการเป็นตะคริวส่วนหนึ่งมาจากการขาดสารอาหารแคลเซียม เพราะอาหารที่กินเข้าไปส่วนหนึ่งนำไปสร้างกระดูกและฟันของทารก อาจพบว่าหญิงตั้งครรภ์มีแคลเซียมน้อยเกินไปในกระแสเลือด มีการคั่งค้างของเลือด ซึ่งอาจจะเป็นที่น่อง จากการยืนมาก เดินมาก หรือห้อยเท้านานๆ ทำให้เกิดภาวะเป็นกรดมาก ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลงมากจึงทำให้เกิดตะคริวได้ หรือหากกล้ามเนื้อได้รับความเย็นมากเกินไป โดยเฉพาะเวลากลางคืน ก็อาจทำให้เป็นตะคริวได้เช่นกัน
ควรทำตัวอย่างไร
ทานอาหารที่มีแคลเซียมมากๆ อาหารที่มีแคลเซียมจะอยู่ในอาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์จากนม ปลาที่สามารถกินได้ทั้งกระดูก ผักใบเขียว เต้าหู้ ทานยาบำรุงที่แพทย์ให้อย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงจากการเดินหรือยืนนาน เวลากลางคืนควรรักษาร่างกายให้อบอุ่น
6. เส้นเลือดขดเป็นเกลียว (เส้นเลือดขอด)
เส้นเลือดขอด คือการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเป็นรอยสีแดงจาง ๆ มักเกิดขึ้นบนหน้าท้องและหน้าอก เมื่อการขยายตัวของอวัยวะเหล่านี้ในระยะตั้งครรภ์ ทั้งนี้เนื่องจากผิวหนังขยายตัวขึ้น ในผู้หญิงที่มีผิวคล้ำจะประสบปัญหานี้มากกว่าผู้หญิงผิวขาว อาจเกิดเป็นลักษณะเป็นจ้ำขึ้น หลังคลอดแล้วรอยนี้จะจางหายไป
ควรทำตัวอย่างไร
ไม่ควรวิตกกังวลใด เพราะเมื่อคลอดลูกน้อยแล้ว รอยเหล่านี้ก็จะจางหายไป
7. ผิวขาวใสไหงกลายเป็นสีดำ (สีผิวเปลี่ยนแปลง)
บริเวณที่มักพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสีผิวคือ ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ เต้านม ใบหน้า หรือบริเวณอวัยวะเพศ เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมน นอกจากการเปลี่ยนแปลงของสีผิวแล้ว อาจมีอาการแห้งและคันที่ผิวหนัง และอาจพบว่ามีเส้นสีคล้ำบริเวณกลางหน้าท้อง
ควรทำตัวอย่างไร
ไม่ต้องตกใจ และไม่ควรเผลอไปเกา การเกาจะทำให้เกิดเป็นอาการที่เรียกว่าลาย โดยเฉพาะบริเวณท้อง ควรทาน้ำมันหรือเบบี้ออยส์ หรือโลชั่นเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ส่วนอาการเปลี่ยนแปลงของสีผิวบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ฯลฯ จะเป็นปกติหลังจากคลอดลูกน้อยแล้ว
8. โอ๊..โฮ้ย..ปวดอกปวดใจ (แสบยอดอก)
อาการทรมานกับการปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณลิ้นปี่จนถึงคอ เป็นอาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำย่อยคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารมากเกินไป สาเหตุที่ทำให้ปวดแสบก็คือ กรดในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนกลับเข้ามาในหลอดอาหารเหนือกระเพาะขึ้นมา ซึ่งจะตรงกับระดับหน้าอกพอดี จึงทำให้มีอาการปวดแสบบริเวณดังกล่าว เพราะปฏิกิริยาของกรดจากกระเพาะอาหารนั่นเอง
ควรทำตัวอย่างไร
ควรรับประทานอาหารทีละน้อยๆต่อมื้อ และวันละหลายๆ มื้อแทน พยายามหลีกเลี้ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส
9. ธรรมชาติทำให้เจ็บปวด (ปวดหลัง)
อาการปวดหลังเกิดจากการที่น้ำหนักของมดลูกและเด็กที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้น้ำหนักมาถ่วงข้างหน้า ศูนย์ถ่วงของร่างกายเปลี่ยนไป คุณแม่ต้องเอนหรือเกร็งกล้าเนื้อมากกว่าปกติ เกิดอาการปวดขึ้นมาได้ และในช่วงตั้งครรภ์ บริเวณข้อต่อต่างๆ ของกระดูกเชิงกรานจะขยายตัวออก เพื่อเตรียมตัวรับขนาดของเด็กที่โตขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด อาการปวดหลังจึงมีมากขึ้น
ควรทำตัวอย่างไร
ปฏิบัติตัวด้วยท่วงท่าและท่วงทีที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงจากการยกของหนัก หรือถ้าจำเป็นควรยกในท่าที่ถูกต้อง ไม่ควรขึ้นบันไดสูงๆ บ่อยๆ เพราะน้ำหนักส่วนเกินจะทำให้คุณหกล้มและอาจได้รับบาดเจ็บได้
เคล็ดลับการมีเพศสัมพันธ์ให้ได้ลูกชาย
๐ ต้องมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไข่สุก หรือในเวลาที่ใกล้ไข่สุกมากที่สุด
๐ ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ควรสวนล้างช่องคลอด ให้มีสภาพเป็นด่างอ่อน ๆ โดยใช้โซเดียมคาร์บอนเนต หรือผงฟูที่ใช้ทำขนม ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาด 1 ลิตร สวนล้างช่องคลอด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง
๐ ในการมีเพศสัมพันธ์นั้น ต้องพยายามทำให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดก่อน หรือพร้อมกับฝ่ายชาย เพื่อจะได้มีการหลั่งน้ำเมือก ที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ออกมา
๐ เมื่อถึงจุดสุดยอด ฝ่ายชายจะต้องสอดอวัยวะเพศเข้าไปในช่องคลอด ให้ลึกที่สุด เพื่อที่จะได้หลั่งน้ำอสุจิออกมาบริเวณปากมดลูก ซึ่งมีน้ำเมือกที่เป็นด่างอยู่
๐ ต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ไว้ จนกว่าจะถึงวันไข่สุก
เคล็ดลับการมีเพศสัมพันธ์ให้ได้ลูกสาว
๐ มีเพศสัมพันธ์ประมาณ 2 วัน ก่อนไข่สุก
๐ ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ควรสวนล้างช่องคลอด ให้มีสภาพเป็นกรดอ่อน ๆ โดยใช้น้ำส้มสายชูกลั่นประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 1 ลิตร สวนล้างช่องคลอด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 1 ชั่วโมง
๐ ฝ่ายหญิงต้องพยายามกลั้นอารมณ์ และความรู้สึกสุดยอดเอาไว้ เพื่อให้ฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิ ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะถึงจุดสุดยอด เพื่อเป็นการป้องกัน การหลั่งน้ำเมือกที่มีสภาพเป็นด่าง ออกมา
๐ ในขณะที่ฝ่ายชายถึงจุดสุดยอด ควรจะสอดอวัยวะเพศ ให้อยู่ในช่องคลอดแต่เพียงตื้น ๆ ใกล้ปากช่องคลอด เพื่อให้ตัวอสุจิ ว่ายผ่านความเป็นกรดในช่องคลอด ไปหามดลูก ช่องคลอดที่มีสภาพความเป็นกรดนั้น ตัวอสุจิเพศหญิงจะผ่านไปได้ดีกว่า
๐ ไม่จำเป็นต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ ยกเว้นในระยะ 2-3 วันก่อนไข่ตก
ภาพน่ารักๆของครอบครัว ฟลุค & โบว์ ค่ะ