นพ.วีระพันธ์ ควรทรงธรรม ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ บอกว่า โรคปวดหลังและคอเป็นโรคที่สามารถเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย และเกิดได้มากกว่า 1 ครั้งในชีวิต โดยขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวัน เช่น การเล่นกีฬา การยกของหนัก ท่าทางที่ใช้ในการยืน การนั่ง การนอน ทั้งเวลาทำงานและอยู่ที่บ้าน
โรคปวดหลังและคอเกิดได้ในทุกอาชีพ อาการปวดค่อยเป็นค่อยไป เช่น มีอาการปวดบริเวณคอจะเจ็บแปล๊บไปที่แขน ปวดเอวเจ็บแปล๊บไปที่ขา และหากเป็นต่อเนื่องโดยรับการรักษาทั้งยากิน ยาทา แล้วยังไม่หายใน 3 สัปดาห์ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัดในการรักษา ซึ่งมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ทั้งจุดเดิมที่เคยปวด และจุดอื่น หากผู้ป่วยยังไม่ปรับเปลี่ยนกิจวัตรในการเคลื่อนไหวผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกสันหลัง กล่าว
หลายคนมักเข้าใจว่า การยกของหนัก 1 วัน การประสบอุบัติเหตุเช่น ตกจากที่สูง อุบัติเหตุ หรือเล่นกีฬาที่หักโหมเป็นสาเหตุของโรคปวดหลังและคอ ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า สาเหตุเหล่านี้ไม่ใช่ตัวการทำให้เกิดโรคปวดหลังและคอ เพราะอาการดังกล่าวมักหายใน 2-3 วันหลังการกินยาหรือทายาแก้ปวด
กรณีที่อาการปวดยังคงอยู่มากกว่า 4 สัปดาห์ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติมเพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง อาทิ กระดูกหัก หมอนรองกระดูกเสื่อมอันเป็นผลมาจากกระดูกอ่อนที่หุ้มกระดูกสันหลังแต่ละปล้องเกิดการฉีกขาด ภาวะข้อเสื่อม ช่องไขสันหลังตีบ เป็นต้น
การนอน เป็นสาเหตุให้เกิดการปวดหลังและคอได้อย่างหนึ่ง เพราะร่างกายเราต้องนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง อุปกรณ์ในการนอนจึงสำคัญมาก ทั้งที่นอน หมอนหนุน ต้องไม่นุ่มหรือแข็งเกินไป ควรเลือกให้พอดี เช่น หมอนควรเลือกที่มีความสูงระดับไหล่ในขณะที่หนุน และใช้ช่วงต้นคอและศีรษะหนุนเพื่อให้หมอนรองกระดูกอยู่ในท่าที่ตรงแนบกับที่นอน
การนอนหงายที่ถูกวิธีควรหนุนหมอนที่ไม่สูงหรือต่ำเกินกว่าระดับไหล่ และใช้หมอนข้างรองช่วงข้อพับบริเวณหัวเข่า หรือเบาะรองนั่งรองจนถึงปลายเท้า เพื่อจัดร่างกายให้อยู่ในท่าที่หมอนรองกระดูกตั้งแต่คอถึงบั้นเอวได้นอนแนบกับที่นอนโดยที่กล้ามเนื้อไม่เกร็งหรืองอตัว
ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกสันหลัง บอกอีกว่า ท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ควรหลีกเลี่ยง แต่หากจะต้องนอนคว่ำควรใช้หมอนบางๆ รองช่วงท้อง ไม่ควรรองบนศีรษะ รวมถึงไม่ควรนอนอ่านหนังสือ นอนดูทีวี เพราะหมอนรองกระดูกบริเวณต้นคอจะต้องตั้งขึ้น และทำให้เกิดอาการปวดคอและหลังตามมาในที่สุด
ท่านอนตะแคงที่ถูกต้อง ควรมีหมอนข้างสำหรับรองรับช่วงขาและแขน เพราะหากไม่มีหมอนข้างรอง มีโอกาสสูงมากที่กล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลังช่วงบั้นเอวถึงช่วงสะโพกเกิดการเกร็งตัว และมีอาการปวดตามมา
โรคปวดหลังและคอเมื่อเป็นแล้ว รักษาหายขาดได้กว่า 90% ด้วยวิธีพื้นฐานที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่โอกาสกลับมาเป็นซ้ำเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะคนที่รับการรักษาแล้วไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การนอนดูทีวี นอนอ่านหนังสือบนเตียง เพราะมีผลให้เกิดการปวดหลังและคอตามมาระยะยาวผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าว
วิธีการรักษาโรคปวดหลังและคอโดยไม่ผ่าตัด แพทย์จะใช้วิธีพื้นฐานได้แก่ การพัก เพราะกรณีที่ปวดหลังจากสาเหตุทั่วไป การนอนพักจะทำให้อาการดีขึ้นได้ภายใน 1-2 วันโดยที่สามารถลุกนั่ง ทานอาหาร และเข้าห้องน้ำได้
สำหรับการกินยา จะใช้ในรายที่มีอาการปวดเฉียบพลัน ได้แก่ การกินยาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ และยากล่อมประสาท เนื่องจากอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาได้ เช่น อาการระคายเคืองทางเดินอาหาร หรือแพ้ยา
การทำกายภาพบำบัด แพทย์เวชปฏิบัติจะแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เพื่อดูแลสุขภาพหลังตลอดจนการรักษาด้วยเครื่องนวดอัลตร้าโซนิก เครื่องนวดรังสีความถี่สั้น การประคบร้อน-เย็น การใช้อุปกรณ์สำหรับกระดูกสันหลังช่วยพยุงต้นคอ รวมถึงการใช้โปรแกรมออกกำลังกายเพื่อทำกายภาพบำบัด
วิธีการฉีดยาลดการอักเสบเฉพาะที่ จะเป็นวิธีที่แพทย์เลือกใช้เฉพาะบางรายที่มีอาการปวดรุนแรงมาก รวมถึงรายที่ได้รับยาแก้ปวดแล้ว ทำกายภาพบำบัดแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะเลือกใช้วิธีฉีดยาสเตียรอยด์ เข้าโพรงกระดูกสันหลังบริเวณที่เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกทับเส้นประสาท หรือข้อต่อกระดูกสันหลัง เพื่อลดการอักเสบบริเวณดังกล่าว
นางสาว ญาวี ชำนาญสิงห์ นักกายภาพบำบัด แผนกกายภาพบำบัด คลินิกกายภาพบำบัดผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เสริมว่า สำหรับคนที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถนั่งให้ถูกท่าทางลดการเจ็บปวดได้
การนั่งหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ หน้าจอควรอยู่ระดับที่สายตาทำมุมเอียงลงประมาณ 45 องศา และที่วางมือควรอยู่ระดับที่ข้อศอกงอประมาณ 10 องศา โดยที่มือวางในระดับที่ไม่แหงนมือ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาด้านหน้าข้อมือ เช่น การอักเสบบริเวณพังผืดหน้าข้อมือ ซึ่งมีโอกาสปวดเรื้อรังสูงหากไม่รักษา หรือรักษาแล้วไม่ปรับวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ให้ถูกสุขลักษณะนักกายภาพบำบัด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าว
การนั่งบนเก้าอี้ควรนั่งเต็มก้น หลังตรงชิดเบาะ โดยมีเคล็ดง่ายๆคือการแขม่วหน้าท้องน้อยช่วยก็จะทำให้กระดูกสันหลังได้ระดับที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมกับวางฝ่าเท้าทั้งสองให้เต็มเท้า หากเก้าอี้สูงควรหากล่องหรือลังมารองให้ได้ระดับ หากทำได้เพียงเท่านี้ก็จะมีร่างกายที่พร้อมจะลุยกับทุกสถานการณ์ได้แล้ว
ที่มา : Life Style สุขภาพ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์