คำโบราณว่า "เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก" คงเป็นโชคดีถ้าเราจะเจอเพื่อนตายสักคน แต่ถ้าเราโชคไม่ดีมีเพื่อนที่หาเรื่องให้เพื่อนตายได้ง่ายๆนี่สิอันตรายมากกว่า
"นัท" สาวน้อยหน้าใสวัย 26 เพิ่งเรียนจบมาจากฝรั่งเศส เธอเพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นานนักตอนที่เราเจอเธอ นัทเล่าเรื่องความสนุกสนานตอนที่เธอเรียนอยู่ที่โน่นให้เราฟัง "ไปทีแรกก็พูดภาษาฝรั่งเศสไม่ค่อยได้ก็ต้องไปเรียนภาษาประมาณ 6 เดือน แล้วที่ที่นัทไปเรียนไม่ค่อยมีคนไทย เราก็เลยได้ฝึกภาษาบ่อยขึ้น แต่จะมีคนต่างชาติอื่นๆเยอะ เราก็มีเพื่อนหลากหลายมาก มีทั้งเอเชีย ยุโรปตะวันออก..นัทเป็นคนสบายๆ อยู่แล้ว ไม่เคยมีปัญหาในการคบเพื่อน ก็ง่ายๆเอาไงก็เอากัน"
สาขาที่เธอเรียนเป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปะและความงาม ยิ่งเมืองที่เธออยู่เป็นศูนย์กลางของแฟชั่นและแวดวงความงามแล้ว ชีวิตของคนที่นั่นจะมีสีสันมากกว่าใคร "วัยรุ่นที่นี่ค่อนข้างเสรี ทำอะไรก็ได้ สังคมที่โน่นต่างกับบ้านเราอยู่แล้ว แต่นัทก็อยู่ได้ไม่มีปัญหานะคะ นัทไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แต่ถ้าเพื่อนเราจะดื่มเราก็ไม่ว่ากัน ก็เราไม่ชอบ..เด็กที่โน่นก็จะมีเรื่องยากันอยู่แล้ว กัญชานั้นเป็นของธรรมดาของที่โน่นเลย เขาสูบกันเหมือนสูบบุหรี่ มีเพื่อนบางคนบอกว่า อ้าว..ก็มันเป็นสมุนไพรไม่ใช่เหรอ" ที่ฝรั่งเศสถ้าจะหาซื้อกัญชาก็ไม่ใช่ของยากนัก แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าหาซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อทั่วไป พอมีโอกาสไปในแหล่งที่ซื้อง่ายขายคล่อง ก็ต้องถือว่าเป็นโชคของคอกัญชา
" เรียนจบแล้ว ก่อนกลับก็ไปเที่ยวด้วยกันก่อน ก็ไปแถวประเทศที่เป็นเชนเก้น (กลุ่มประเทศในยุโรป มีฝรั่งเศส ออสเตรีย เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น) แถบๆนี้ล่ะค่ะ กลุ่มเพื่อนๆก็ไปด้วยกัน ก็ตระเวนเที่ยวไปเรื่อยๆ เราจะกลับอัมสเตอร์ดัม แล้วก็กลับปารีส"
นัทคนนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล้ายาอยู่แล้ว เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ และที่สำคัญเรื่องยาเสพติด ยืนยันได้คำเดียวว่าไม่ เพราะฉะนั้นถึงจะบุกไปถึงอัมสเตอร์ดัมก็ไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นสักเท่าไร ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นเมืองสวรรค์ของคอกัญชา อยู่ที่นี่หาซื้อ "เนื้อ" ไป "ปุ๊น" ได้ง่ายกว่าเดินหาซื้อแสตมป์ซะอีก
"ไม่ได้สนใจว่าเพื่อนเขาจะไปซื้อกัญาชาอะไรมาจากไหน เพราะเราไปเที่ยวเราก็เที่ยวของเรา แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ได้ไปด้วย โทรคุยกันเขาก็ทวงของฝากจากเพื่อนๆ คนอื่นก็บอกว่าโอเค ไม่ลืมหรอก พอถึงวันกลับ กระเป๋าของแต่ละคนก็เริ่มตุง ยัดอะไรลงไปไม่ค่อยได้แล้ว มีแต่ของนัทที่ยังพอมีที่ว่างอยู่ เราก็ได้เลยถามเขาว่ามาฝากที่เรามั้ย เพื่อนก็ตกลง เอไว้ที่กระเป๋าเราแล้วกัน แต่ก่อนที่เขาจะเอามาใส่เขาห่อด้วยถุงเท้าก่อน ถุงเท้าที่ใส่แล้วน่ะ เขาบอกว่าอันนี้กลิ่นมันแรง เอาถุงเท้าห่อไว้ หมามันจะได้ไม่รู้"
ตอนนั้นเธอคิดว่ามันคงเป็นอะไรสักอย่างที่กลิ่นแรงๆ ถ้าเปรียบเป็นของฝากจากบ้านเราก็คงเหมือนปลาเค็มจากชายทะเล "คิดว่าเป็นชีสค่ะ ชีสแบบที่กลิ่นแรงๆน่ะ แล้วมันก็เป็นก้อนๆ ก็เลยคิดว่าน่าจะใช่ ก็เอาห่อถุงเท้า ใส่กระเป๋าอย่างดี เอาเสื้อผ้าห่อซะอีกชั้นหนึ่งเก็บของเสร็จก็ขึ้นรถไฟกลับปารีส"
ถึงกัญชาจะเป็นสิ่งถูกกฎหมายในอัมสเตอร์ดัม แต่แค่เพียงเราข้ามพรมแดนมาฝรั่งเศส ไอ้ที่ว่าถูกก็จะกลายเป็นผิดทันที โชคดีที่เธอปลอดภัยตลอดทางจากอัมสเตอร์ดัมจนถึงปารีส และมารู้จนกระทั่งถึงบ้านว่า ก้อนโตๆที่เธอหอบหิ้วมานั้นเป็นกัญชาหนักหลายกิโล
เมื่อเราถามความความรู้สึกเมื่อรู้ "ตกใจสิพี่ร้อง เฮ้ย! ทำไมถึงทำกันแบบนี้ ถ้าถูกจับได้ฉันจะทำยังไง เพื่อนก็บอกว่า เห็นมั้ย ก็ไม่โดนไง ยังรู้สึกโกรธเลยว่าทำไมไม่บอก ทุกคนบอกว่า ไม่บอกน่ะดีแล้ว ถ้าบอกเธอก็โดนจับไปแล้ว" นัทรู้สึกว่าเป็นโชคอย่างมากที่รอดพ้นการตรวจค้นมาได้ เธอบอกว่าไม่อยากนึกเลยว่าถ้าโดนจับแล้วจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้เธอยอมถูกเพื่อนว่าเป็นคนใจดำ เพราะเธอไม่แบ่งเนื้อที่ในกระเป๋าของเธอให้กับของฝากใครอีกแล้ว
บทความ จากนิตยสาร คลีโอ
** อ่านแล้วอย่าลืมว่าเวลาจะรับฝากของจากใครต้องดูให้ดีๆก่อนนะคะ เคยมีเคสแบบนี้มาหลายรายแล้วนะคะ |