ต่อให้คุณเป็นผู้หญิงรักงานและมากความสามารถระดับเท้าหน้าแค่ไหน คุณก็ยังเป็นผู้หญิงวันยังค่ำ ดังนั้นจงอย่าให้งานมากจนชีวิตส่วนตัวของคุณสูญหายมลายไปหมด จริงอยู่ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ดังนั้นการทำงานจึงมีบทบาทและอิทธิพลต่อชี วิตของผู้หญิงยุคนี้อย่างแท้จริง เราควรให้ความสำคัญกับ "งาน" แค่ไหน จึงจะเรียนกว่าพอดี พอควร และพอเหมาะกับตัวเราเอง
1. อย่าให้ "งาน" ครอบงำชีวิตของคุณมากกว่า 75% โดยเด็ดขาด ไม่มีใครหรอกที่สา มารถใช้ชีวิตและเวลาอยู่กับงานได้ถึงวันละมากเกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไปเพราะถ้าตารางในชีวิตประ จำวันของคุณแน่นเอี้ยดไปด้วย งาน งาน และงาน จนหาการพักผ่อน เวลาเป็นส่วนตัวไม่ได้ก็ เข้าข่ายคนป่วยด้วยโรค Workholic แล้วล่ะ
2. จงใช้ชั่วโมงของการทำงาานอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด มีสุภาษิตสองบทที่อาจคุ้นเคย กันแล้วว่า "All work and no play makes Jack a dull boy" และ "Well begun is half done" อย่างแรกหมายความว่าการทำงานโดยไม่มีการพัก การเล่น อาจทำให้แจ๊ค เป็นเด็กโง่ ในขณะที่อย่างหลังบอกให้รู้ว่า การเริ่มต้นที่ดีเท่ากับมีชัยชนะหรือความสำเร็จไป แล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อนำมารวมกันจึงเกิดเป็นหลักการทำงานที่ว่า อย่าทำงานหนักจนลืมนึกถึงชีวิต ส่วนตัวที่ต้องมีเล่นบ้างพักบ้าง แต่อย่างไรก็ควรตั้งใจในการทำงาานให้เต็มที่ ทุกเวลานาทีมีค่า ว่างั้นเถอะ อย่าปล่อยปละเวลาในการทำงานให้สูญเปล่าและสูญค่า
3. จงประเมินตัวเองว่าถนัดงานแบบไหน ชนิดใดมากกว่าการไปทนฝืนทำในสิ่งที่ตนเอง ไม่ถนัด และไม่รู้สึกว่าเป็นความสุขถ้าจะทำ เพราะการได้ทำงานที่เรารักและถนัด (ถ้าเลือกได้) จะทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย ซ้ำซาก จำเจ กลับคิดว่าเป็นความสนุกและท้าทายมากกว่าด้วยซ้ำ ไป นอกจากนั้นจะทำให้รู้สึกทำงานง่ายขึ้น เนื่องจากมีแรงจูงใจและมีความถนัดชำนาญเป็นพื้น ฐานอยู่แล้ว
4. อย่านำงานมาทำต่อที่บ้านอย่างเด็ดขาดคุณควรแบ่งสถานที่ของโลกการทำงานและชี วิตส่วนตัวให้แยกออกจากกัน ถ้าขืนนำงานมาทำที่บ้านบ่อยๆ อีกไม่ช้าชีวิตที่บ้านอาจกลายเป็น อฟฟิศย่อยๆ ของคุณไปอีกแห่งหนึ่งก็ได้ งานนั้นมีความสำคัญมากต่อชีวิตผู้คนในปัจจุบัน ยิ่งเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ การมีงานทำ ย่อมดีกว่าตกงาน แต่คุณก็ควรทำโอกาสนั้นให้กลายเป็นความสุข และรายได้ที่ไม่เบียดเบียนโลก ส่วนตัวจนกลายเป็นความทุกข์ไปในที่สุด
งานนั้นก็สำคัญสุดๆ ในทุกด้าน ถ้าคุณจัดสรรทุกอย่างให้ลงตัวจริงๆ
1. อย่าให้ "งาน" ครอบงำชีวิตของคุณมากกว่า 75% โดยเด็ดขาด ไม่มีใครหรอกที่สา มารถใช้ชีวิตและเวลาอยู่กับงานได้ถึงวันละมากเกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไปเพราะถ้าตารางในชีวิตประ จำวันของคุณแน่นเอี้ยดไปด้วย งาน งาน และงาน จนหาการพักผ่อน เวลาเป็นส่วนตัวไม่ได้ก็ เข้าข่ายคนป่วยด้วยโรค Workholic แล้วล่ะ
2. จงใช้ชั่วโมงของการทำงาานอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด มีสุภาษิตสองบทที่อาจคุ้นเคย กันแล้วว่า "All work and no play makes Jack a dull boy" และ "Well begun is half done" อย่างแรกหมายความว่าการทำงานโดยไม่มีการพัก การเล่น อาจทำให้แจ๊ค เป็นเด็กโง่ ในขณะที่อย่างหลังบอกให้รู้ว่า การเริ่มต้นที่ดีเท่ากับมีชัยชนะหรือความสำเร็จไป แล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อนำมารวมกันจึงเกิดเป็นหลักการทำงานที่ว่า อย่าทำงานหนักจนลืมนึกถึงชีวิต ส่วนตัวที่ต้องมีเล่นบ้างพักบ้าง แต่อย่างไรก็ควรตั้งใจในการทำงาานให้เต็มที่ ทุกเวลานาทีมีค่า ว่างั้นเถอะ อย่าปล่อยปละเวลาในการทำงานให้สูญเปล่าและสูญค่า
3. จงประเมินตัวเองว่าถนัดงานแบบไหน ชนิดใดมากกว่าการไปทนฝืนทำในสิ่งที่ตนเอง ไม่ถนัด และไม่รู้สึกว่าเป็นความสุขถ้าจะทำ เพราะการได้ทำงานที่เรารักและถนัด (ถ้าเลือกได้) จะทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย ซ้ำซาก จำเจ กลับคิดว่าเป็นความสนุกและท้าทายมากกว่าด้วยซ้ำ ไป นอกจากนั้นจะทำให้รู้สึกทำงานง่ายขึ้น เนื่องจากมีแรงจูงใจและมีความถนัดชำนาญเป็นพื้น ฐานอยู่แล้ว
4. อย่านำงานมาทำต่อที่บ้านอย่างเด็ดขาดคุณควรแบ่งสถานที่ของโลกการทำงานและชี วิตส่วนตัวให้แยกออกจากกัน ถ้าขืนนำงานมาทำที่บ้านบ่อยๆ อีกไม่ช้าชีวิตที่บ้านอาจกลายเป็น อฟฟิศย่อยๆ ของคุณไปอีกแห่งหนึ่งก็ได้ งานนั้นมีความสำคัญมากต่อชีวิตผู้คนในปัจจุบัน ยิ่งเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ การมีงานทำ ย่อมดีกว่าตกงาน แต่คุณก็ควรทำโอกาสนั้นให้กลายเป็นความสุข และรายได้ที่ไม่เบียดเบียนโลก ส่วนตัวจนกลายเป็นความทุกข์ไปในที่สุด
งานนั้นก็สำคัญสุดๆ ในทุกด้าน ถ้าคุณจัดสรรทุกอย่างให้ลงตัวจริงๆ