Bagel Head เบเกิ้ลเฮด เทรนด์แปลงโฉม หัวปูดสุดฮิตจากแดนปลาดิบ


       เรื่องราวของแฟชันหัวปูดถูกเสนอผ่านรายการ Taboo ทางช่อง เนชันแนล จีโอกราฟิก ซึ่งถ่ายทอดขั้นตอนการแปลงโฉมของ 3 วันรุ่น จอห์น, มาริน และสกอร์เปียน ที่กรุงโตเกียว

 

       ศีรษะที่โหนกนูนเหมือนขนมปังเบเกิล(Bagel)นี้ เกิดจากการฉีดน้ำเกลือเข้าไปใต้ผิวหน้าผาก และใช้นิ้วหัวแม่มือกดให้เป็นรอยบุ๋มตรงกลาง ซึ่งจะให้ผลอยู่นานราว 16-24 ชั่วโมง ก่อนที่น้ำเกลือจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย 

       ผู้ที่เริ่มเผยแพร่แฟชั่นหัวปูดในญี่ปุ่นคือศิลปินนาม “เครอปปี” (Keroppy) ซึ่งให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Vice เมื่อปีที่แล้วว่า เขาเรียนรู้วิธีเพิ่มขนาดอวัยวะต่างๆด้วยน้ำเกลือระหว่างเดินทางไปประชุม “ม็อดคอน” ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงเรือนร่าง (body modification) ที่เมืองโทรอนโต ในปี 1999
      
       “ผมได้รู้จักกับ เจโรม ซึ่งเป็นคนแรกที่คิดค้นวิธีฉีดน้ำเกลือเข้าร่างกาย.. เราติดต่อกันอยู่เสมอตั้งแต่นั้นมา จนในที่สุดผมได้ไปทดลองฉีดน้ำเกลือกับเขาเมื่อปี 2003 และเขาก็อนุญาตให้ผมเอาวิธีนี้มาใช้ในญี่ปุ่น” เครอปปี เผย

       สาวกผู้นิยมแฟชั่นหัวปูดจะจัดงาน “ปาร์ตี้น้ำเกลือ” กันปีละ 2 ครั้ง แต่ก็มีบางคนที่ฉีดน้ำเกลือเพื่อไปเที่ยวไนท์คลับ หรืองานสังสรรค์ของพวกคลั่งไคล้เรื่องเพศ และการฉีดน้ำเกลือสามารถทำได้กับอวัยวะทุกส่วน และปรากฎว่าเคยมีผู้ใช้วิธีนี้เพิ่มขนาด “ถุงอัณฑะ” มาแล้วด้วย

 

       แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แพทย์ผิวหนังเตือน ฉีดน้ำเกลือเข้าร่างกาย แม้ไม่มีอันตราย แต่หากน้ำเกลือมีความเข้มเกินไป เสี่ยงเนื้อตายได้ โดยเฉพาะการฉีดบริเวณหน้าผาก มีโอกาสติดเชื้อ ส่งผลเส้นประสาทตาอัมพาต ตาเหล่ หากติดเชื้อที่สมองมีสิทธิถึงตาย เตือนโจ๋ไทยอย่าเลียนแบบญี่ปุ่น เพราะเป็นเพียงแฟชั่น ไม่คุ้มกับอันตรายที่จะเกิดขึ้น
      
       พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังประเทศไทย กล่าวถึงกรณีวัยรุ่นญี่ปุ่นที่นิยมแปลงโฉมด้วยการฉีดน้ำเกลือเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณหน้าผากว่า การฉีดน้ำเกลือเข้าร่างกาย ปกติแล้วไม่มีอันตราย เนื่องจากน้ำเกลือเป็นสารที่ละลายหายไปได้ แม้จะเกิดการรั่วไหลของน้ำเกลือเข้าไปในหลอดเลือดก็ตาม เพราะน้ำเกลือไม่ส่งผลให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย แต่หากฉีดน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นมากเกินไป อาจส่งผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นแผลและตายได้
      
       “ทางการแพทย์มีกระบวนการฉีดสารละลายที่มีความเข้มข้นสูง (Hypertonic Solution) เพื่อทำให้เนื้อตาย หรือหลุดลอกออกไป ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเกิดจากสารละลายที่มีความเข้มข้นกว่าสารในร่างกาย ทำให้เกิดการออสโมซิสของน้ำออกไปจากเซลล์ ทำให้เซลล์แฟบลง เหี่ยวลง และตายได้ ดังนั้น หากการฉีดน้ำเกลือเข้าไปใต้ผิวหนังหากมีความเข้มข้นของน้ำเกลือมากกว่าร่างกาย อาจมีความเสี่ยงที่ทำให้เนื้อบริเวณนั้นตายได้”

     
       พล.ต.นพ.กฤษฎา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ผู้ฉีดน้ำเกลือให้ถือว่ามีความผิด เนื่องจากผู้ฉีดไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ สารที่ใชฉีดไม่ได้มีการรับรอง และสถานที่ที่ใช้ฉีดไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเครื่องมือช่วยชีวิต ผู้รับการฉีดต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าการฉีดอะไรเข้าสู่ร่างกาย หากเกิดความผิดพลาดอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

       
       ด้าน ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การฉีดน้ำเกลือจะทำให้เนื้อบวมชั่วคราว ซึ่งไมมีอันตรายใดๆ แม้จะเกิดการผิดพลาดขึ้นระหว่างฉีด แต่ปัญหาแทรกซ้อนที่มีโอกาสเกิดขึ้น คือ การติดเชื้อระหว่างการฉีด โดยเฉพาะการติดเชื้อบริเวณหน้าผากหรือโคนจมูก เชื้อโรคจะเข้าไปทางหลอดเลือดดำ และไปอยู่ที่แอ่งเลือดดำใต้สมอง (Cavernous Sinus) ซึ่งเป็นศูนย์รวมเส้นประสาท การติดเชื้อบริเวณดังกล่าวถือว่าอันตรายมาก อาทำให้เกิดโรค Cavernous Sinus Thrombosis ส่งผลให้เส้นประสาทตาเป็นอัมพาต กล้ามเนื้อหยุดทำงาน และเกิดอาการตาเหล่ขึ้นได้ นอกจากนี้ การติดเชื้อบริเวณแอ่งเลือดดำใต้สมองรักษายากมาก ต้องให้ยาเพียงอย่างเดียว หากไม่หายก็ไม่สามารถทำอะไรได้

 



       ผศ.นพ.ถนอม กล่าวว่า “การฉีดสารเข้าร่างกาย ถ้าทำไม่เป็นหรือทำเองก็เหมือนการฉีดเชื้อโรคเข้าร่างกาย หากติดเชื้อบริเวณผิวหนังสามารถรักษาได้ ไม่ยุ่งยากเท่าไร แต่หากฉีดที่หน้าผากแล้วเชื้อติดเขาไปในสมองเป็นเรื่องใหญ่มาก มีสิทธิถึงตายได้ การฉีดสารเข้าร่างกายเป็นอันตรายประเภทที่ถ้าเกิดก็เกิดเลย แต่หากไม่เกิดก็ไม่เกิด” 


เรียบเรียงข้อมูลจาก manageronline





แสดงความคิดเห็น






Pooyingnaka Wellness


Advertisement