ลดความอ้วนผิดวิธี ร่างกายมีสัญญาณเตือน



การลดน้ำหนัก เมื่อรู้ตัวว่าอ้วนเกินไปเป็นเรื่องดีโดยเฉพาะต่อสุขภาพ เพราะถ้าปล่อยตัวให้อ้วนมาก เสี่ยงป่วยด้วยโรคต่างๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง ข้อเข่าเสื่อม ทางเดินหายใจอุดตัน และเสี่ยงป่วยมะเร็งอีกต่างหาก

แต่บางคนเลือกวิธีลดหุ่นที่ไม่เหมาะสม เพราะต้องการให้น้ำหนักลงเร็วและเห็นผลชัดเจน หลายคนจึงซึม ปวดเมื่อยตามร่างกายแม้ไม่ได้ออกแรง และเหนื่อยง่าย นอกจากนี้คนที่กินยาลดความอ้วนโดยไม่ผ่านแพทย์ ซึ่งยาที่ซื้อมากินเองมักไม่ผ่าน อย. และเป็นอนุภัณฑ์ของแอมเฟตามีน ผลข้างเคียงคล้ายยาบ้า ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ประสาทหลอน ตาขวาง ใจสั่น เป็นอันตรายต่อร่างกาย

ส่วนการลดน้ำหนักด้วยวิธีไม่กินคาร์โบไฮเดรตหรือกินน้อยที่สุด เพื่อให้ร่างกายดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ ก็จะส่งผลให้ร่างกายเกิดกรดชนิดหนึ่ง ชื่อ คีโตน ที่ทำให้กลิ่นลมหายใจและกลิ่นตัวคล้ายกลิ่นผลไม้สุก โดยภาวะกรดจะส่งผลกระทบอวัยวะทุกส่วน ร่างกายเสียสมดุล และเสียบุคลิกภาพ

สำหรับวิธีลดน้ำหนักส่วนเกินด้วยการกินแล้วค่อยถ่ายออกโดยใช้ยาถ่ายก็ไม่สามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้จริง เนื่องจากน้ำตาลและไขมันในอาหารถูกร่างกายดูดซึมไปแล้วในระหว่างการย่อย ด้านความเข้าใจที่ว่าทำดีท็อกซ์เพื่อละลายไขมันนั้นก็ไม่ใช่ เนื่องจากการดีท็อกซ์ช่วยทำความสะอาดลำไส้และแก้ปัญหาท้องผูก

ที่น่าเป็นห่วง คือ คนที่ลดน้ำหนักด้วยตนเองชนิดหักโหม โดยน้ำหนักลงเร็ว เช่น ภายใน 2 สัปดาห์ ลดลงไปได้ถึง 20 กิโลกรัม แล้วจู่ๆ ก็กินอาหารปริมาณมากเข้าไป เป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต! เนื่องจากโดยปกติ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ตับอ่อนจะผลิตอิซูลิน เพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน การลดหรืองดอาหารทำให้ตับอ่อนผลิตอิซูลินน้อยลง ทว่ากลับมากินเยอะอย่างรวดเร็ว ย่อมทำให้ระบบร่างกายแปรปรวน ผนวกกับคนอ้วนบางคนเป็นโรคหัวใจแบบไม่รู้ตัว อีกทั้งร่างกายที่ทรุดโทรมจากการลดน้ำหนักผิดวิธี จึงทำให้เกิดอาการหัวใจวายและเสียชีวิตได้

หากการลดน้ำหนักทำให้เกิดอาการผิดปกติอย่างที่กล่าว ลองตั้งต้นลดด้วยแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ โดยในแต่ละสัปดาห์น้ำหนักไม่ควรลดลงมากกว่า 0.5 กิโลกรัม


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์








แสดงความคิดเห็น






Pooyingnaka Wellness


Advertisement