การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยชราตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในวัยกลางคนเป็นสิ่งที่พูดกันมากขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน เพราะคนในยุคต่อไป ไม่ว่าจะอายุเท่าใดต่างก็ต้องเผชิญกับการบีบคั้นของสังคมมากขึ้น และการจะเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับก้าวสู่โลกแบบนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องวางแผนแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เราสามารถปรับตัวและอยู่อย่างมีความสุขได้ในโลกใบเดิมที่หลายสิ่งหลายอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไป
ก่อนจะเข้าสู่วัยชรา การทำความรู้จักกับข้อดีของวัยชรากันก่อนก็ช่วยให้เห็นภาพมากขึ้น...ซึ่งข้อดีของวัยชรา อาจมีดังนี้
1. คุณจะมีเวลามากขึ้น
ชีวิตในวัยชราจะเป็นชีวิตที่ช้าลง คุณจะมีเวลาทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ไม่ต้องรีบร้อน คิดถึงแต่เรื่องลูกและครอบครัวเหมือนสมัยที่ยังอยู่ในวัยทำงาน โดยมากแล้ว ในช่วงวัยนี้ คุณยังเลือกได้ว่า สิ่งใดที่คุณอยากทำ สิ่งใดที่ไม่อยากทำ และเงินอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับคุณเหมือนสมัยที่ยังต้องหาข้าวป้อนลูกทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อชีวิตสามารถเลือกได้ ความสุขในชีวิตก็จะมีมากขึ้น ถึงตอนนี้ คุณอาจใช้เวลาเล่นกับหลาน ๆ ถ่ายทอดประสบการณ์ในชีวิตให้กับพวกเขา เช้า ๆ อาจมีเวลาเดินเล่นออกกำลังกาย ไปดูนก ให้อาหารปลา พูดคุยทักทายกับเพื่อนบ้าน ใช้ชีวิตในวันช้า ๆ ที่มีอย่างมีความสุข
2. คุณมีเวลาเดินทางเปิดโลกทัศน์
เตรียมนึกถึงสมัยทำงานกันได้เลย ตอนนั้นแม้จะอยากไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ แต่ก็ไม่เคยมีเวลาไป มาวันนี้ เข้าสู่วัยชราแล้ว โดยมากคุณก็ไม่ต้องทำงานประจำกันแล้ว หลายคนอาจมีเงินบำนาญ หรือเงินก้อนที่ได้รับจากบริษัทหลังลาออกไว้ใช้จ่าย (ถ้าองค์กรไหนไม่มีสวัสดิการนี้ก็ไม่ต้องน้อยใจ สะสมด้วยตัวเองก็ได้ค่ะ) และคุณสามารถใช้เวลาที่เหลือนี้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่ไม่เคยไปเหล่านั้นได้สบาย ๆ เลย
3. คุณทำประโยชน์ให้สังคมได้มากขึ้น
คุณอาจนำประสบการณ์ ความรู้ที่สั่งสมมาส่งต่อให้เด็ก ๆ ในยุคต่อไป เช่น หากคุณเคยเล่นฟุตบอลเก่ง คุณอาจมาเป็นโค้ชฟุตบอลให้กับโรงเรียนเล็ก ๆ ข้างบ้าน ซึ่งเราเชื่อว่าการทำเช่นนั้น หากเป็นคนในวัยทำงาน โดยมากพวกเขายังต้องการค่าตอบแทน แต่ในวัยชรา เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญมากเท่ารอยยิ้มของเด็ก และความรู้สึกดีที่ได้ทำประโยชน์ให้สังคมอีกแล้วค่ะ
4. คุณจะได้ดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น
เราเชื่อว่า คุณพ่อคุณแม่ต้องจำได้ถึงสมัยที่ทำงานตัวเป็นเกลียวหาเงินเลี้ยงลูกกันได้ทุกคน ตอนนั้น คุณอาจต้องประหยัด เก็บเงินไว้เพื่ออนาคตของลูกและครอบครัว อาหารการกินอาจไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดว่าอะไรรับประทานได้ก็รับประทานไปก่อน แต่ถ้าเข้าสู่วัยชรา คุณพ่อคุณแม่ก็น่าจะได้รับสิทธิในการเลือกอาหารการกินที่มีประโยชน์ และดูแลตัวเองเรื่องสุขภาพให้ดีเอาไว้ก่อน ส่วนหนึ่งก็เพราะประเด็นเรื่อง "เวลา" ที่คุณได้รับมากขึ้น ทำให้คุณสามารถพิจารณาอาหารต่าง ๆ ได้ก่อนจะตัดสินใจซื้อ หรือรับประทานเข้าไป
5. คุณจะมีเวลาทบทวนสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
ในชีวิตคนทุกคน โดยเฉพาะในช่วงวัยทำงาน ทุกคนต่างก็หวังได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานกันทั้งสิ้น แต่ยิ่งทำงานหนักเท่าใด ความเครียดก็ยิ่งถาโถม จนทำให้บางคนก็อดไม่ได้ที่จะทำร้ายคนอื่นไปด้วย หรือบางคนถึงกับใช้เกมสกปรกเพื่อขจัดคนที่ตนไม่ชอบ - คนที่คอยขัดขวางการงานให้พ้นหูพ้นตา ซึ่งสิ่งที่กระทำลงไปนั้น บางทีก็ไม่มีเวลากลับมาคิดทบทวนว่าถูกหรือไม่ถูก ควรหรือไม่ควร แถมบางคนอาจรู้สึกสะใจที่คนที่ตนเองไม่ชอบต้องกระเด็นออกจากองค์กรไปก็มี รวมทั้งอาจไม่ได้เสียใจ หรือสำนึกผิดในสิ่งที่ทำนั้นแต่อย่างใด ช่วงวัยชราเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาดี ๆ ที่คุณจะได้มีเวลานั่งพิจารณาสิ่งที่คุณทำลงไปตลอดทั้งชีวิต ว่ามีดีมากพอที่จะทำให้คุณตายอย่างหมดห่วงหรือไม่นั่นเอง
อย่างไรก็ดี ความสุขในวัยชราอาจหายวับไปกับตา หากคุณยังพกสัมภาระที่ชื่อ "พฤติกรรมทำลายความสุข" เหล่านี้เอาไว้ ได้แก่
- จู้จี้ขี้บ่น อาจเป็นพฤติกรรมที่ทำจนติดเป็นนิสัยของคนเป็นพ่อแม่ ที่เห็นลูกเป็นเด็กอยู่เสมอ แต่บางครั้งอาจต้องทำใจและมองลูกอย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วบ้าง และลดการจู้จี้ขี้บ่น รวมถึงการเข้าไปชี้นำชีวิตลูกลงให้มาก เปลี่ยนเป็นการเข้าใจ - ให้กำลังใจแทน เพราะบ่นไปคุณก็ไม่มีความสุข ลูกก็ไม่มีความสุข ความสัมพันธ์ก็พลอยแย่ลงแทนที่จะได้ใช้เวลาที่เหลือไม่มากนี้รักกันให้มากขึ้น
- เข้าไปยุ่งกับครอบครัวของลูก แม้จะเป็นความหวังดีของพ่อแม่ แต่บางทีก็ต้องพิจารณาก่อนว่า ลูกและครอบครัวของเขาพร้อมจะรับไหม หรือพร้อมจะรับในรูปแบบใด เพราะเราคงเคยได้ยินกรณีพิพาทกันอยู่บ่อย ๆ ที่พ่อแม่เข้าไปยุ่มย่ามในชีวิตครอบครัวของลูกจนเกิดการทะเลาะกันใหญ่โต ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วอาจเป็นเพียงการสื่อสารที่ผิดพลาด หรือไม่เข้าใจจุดประสงค์ของกันและกัน
- ใจร้อน เพราะชีวิตในวัยชราไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วมากเท่าสมัยวัยทำงาน ที่คุณอาจเป็นผู้บริหารระดับสูง ตัดสินใจเด็ดขาด ปุบปับ อีกประการหนึ่ง ชีวิตในวันนี้ หลายคนปลดตัวเองจากภาระการงานต่าง ๆ นั้นไปแล้ว ดังนั้น หากจะติดนิสัยใจร้อนมาด้วย ก็เกรงว่าจะเป็นการนำนิสัยใจร้อนมาใช้กับคนใกล้ตัวแทน จะดีกว่าหากลองใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ค่อย ๆ ปรับตัวให้ใจเย็นลง ลดความตึงเครียด เปลี่ยนมาฝึกยิ้มให้ง่ายขึ้น หัวเราะให้มากขึ้น
- เห็นแก่ตัว ในวันที่คุณมีกำลังวังชา คุณอาจไม่รู้สึกอยากช่วยใคร และคิดว่าเวลาที่ตนเองลำบากก็ไม่เห็นเคยมีใครช่วยคุณ แต่ในวันที่คุณชรามากขึ้น หากคุณยังพกนิสัยนี้ไปด้วย น่าจะทำให้ชีวิตวัยชราลำบากและขาดที่พึ่งมากพอสมควร เพราะอย่าลืมว่า คุณไม่ได้มีกำลังทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองไปตลอด
- ปากร้าย ชอบพูดจาไม่ดี ถึงแม้จะเป็นลูกหลาน คนใกล้ชิด แต่ถ้าให้เลือกก็ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนที่จิตใจไม่ดี พูดจาไม่ดี เพราะทำให้พวกเขาจิตใจหม่นหมองไปด้วยที่ต้องมานั่งฟังคุณพร่ำบ่นถึงความเลวร้ายของสิ่งต่าง ๆ คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็แย่ สังคมเลวทราม ดังนั้น คนที่เริ่มเข้าสู่วัยชรา ควรพยายามปรับทัศนคติของตนเอง ลดการมองโลกในแง่ร้ายลงบ้าง หันมามองโลกอย่างเข้าใจจะดีกว่า
- หมกมุ่นอยู่กับอบายมุข สังคมไทยถนัดเสียด้วยกับการส่งเสริมเรื่องการพนัน หรือความงมงายในไสยศาสตร์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้ชีวิตในวัยชรามีความสุข หรือสมบูรณ์ขึ้นมาได้ มีเพียงความพึงพอใจชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หากลด ละ เลิกได้ น่าจะทำให้ชีวิตในวัยชรามีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ขอบคุณ ที่มา : manageronline