สาวๆคงเคยได้ยินเรื่องราวของ แท็กซี่มอมยาผู้โดยสาร ผ่านทางช่องแอร์ภายในรถแท็กซี่มาบ่อยครั้ง ทั้งฟอร์เวิร์ดเมล์บ้าง ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง หรือแม้กระทั่งเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาประกาศเตือนภัยกันทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค ซึ่งล่าสุดมีหญิงสาวอ้างว่าตกเป็นเหยื่ออีกราย แต่ทางคนขับแท็กซี่เองก็ไม่ยอมเพราะเขาเองก็อ้างว่าไม่ได้มอมยาผู้โดยสารเหมือนกัน
ทางการแพทย์ก็ออกมาระบุว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์แท็กซี่มอมยา โดย พ.ต.อ.หญิง นันทิยา สุจิรัตนวิมล กลุ่มงานวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ให้ความรู้ว่าปัจจุบันยาสลบที่ใช้กันในวงการแพทย์มีอยู่ 4 รูปแบบคือ
1. การรับประทาน ซึ่งมีข่าวอยู่เรื่อยๆ มิจฉาชีพจะนำไปใส่ในน้ำหรือเครื่องดื่มให้ผู้อื่นกินเพื่อก่อเหตุ
2. การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
3. การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ โดยการให้น้ำเกลือคนไข้และฉีดยาเข้าไปทางสายน้ำเกลือ
4. การสูดดมผ่านหน้ากาก
ในกรณีที่ใช้ยาดมสลบเพื่อให้ผู้ป่วยหลับลึกจนหมดสติได้นั้น แพทย์จะให้ผู้ป่วยดมยาสลบผ่านหน้ากากที่ครอบปากและจมูก โดยจะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยในการสูดดมยาสลบด้วย ไม่มีการต่อต้านและไม่มีการกลั้นลมหายใจ ซึ่งใช้เวลาในการที่จะทำให้คนไข้หลับอย่างน้อยประมาณ 1 นาที แต่ถ้าเป็นในรถแท็กซี่จะต้องใช้ยาปริมาณมากเพื่อให้ยากระจายทั่วห้องโดยสาร และภายในห้องโดยสารของแท็กซี่เป็นห้องที่ผู้โดยสารกับคนขับอยู่ด้วยกัน ดังนั้นยาจะฟุ้งกระจาย ในรถทำให้คนขับสูดดมยาดังกล่าวไปด้วย และอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยาดมสลบเช่นเดียวกับผู้โดยสาร ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ผู้โดยสารจะได้รับยาโดยที่คนขับไม่ได้รับด้วย
ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีการวางยาสลบผู้โดยสารในรถแท็กซี่ เพราะการให้ยาสลบต้องดมผ่านหน้ากากยาอยู่ในที่แคบคนไข้จึงจะสูดดมเข้าไปได้ แต่ในรถแท็กซี่เป็นบริเวณที่กว้างกว่า ไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ หากจะได้ผลจริงๆ ต้องใช้ในปริมาณที่มาก แต่ถ้ามากขนาดนั้นผู้ที่อยู่ในรถก็จะต้องหลับไปด้วยกัน อีกทั้งราคาของยาสลบแบบสูดดมนั้นมีราคาแพงมาก ราคาอยู่ที่ประมาณขวดละ 3,000-7,000 บาท (หนึ่งขวดมีปริมาณยาประมาณ 250 ซีซี) อาจเป็นไปได้ว่าผู้โดยสารอาจได้รับไอระเหยอย่างอื่น เช่น น้ำหอมที่มีกลิ่นแรงๆ หรือก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์จากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทำให้วิงเวียนศีรษะ และเข้าใจผิดว่ากำลังถูกมอมยา
ทั้งนี้เราสามารถนำผู้ที่สงสัยว่าได้รับ ยาสลบ มาตรวจสอบได้ แต่ก็ไม่ทุกกรณี และบางครั้งก็ไม่ได้บ่งบอก ถึงความจำเพาะ เนื่องจากยาสลบทั้งแบบสูดดมและแบบกินนั้นมีรูปแบบต่างกันออกไป วัตถุออกฤทธิ์ก็ต่างชนิดกัน บางครั้งเราสามารถตรวจได้แค่ว่าสารที่ต้องสงสัยนั้นอยู่ในกลุ่มใด แต่อาจไม่สามารถจำเพาะเจาะจงชื่อยาได้ นอกจากนี้ผลการตรวจยังขึ้นกับปริมาณสารและระยะเวลาที่ได้รับสารก่อนมาตรวจด้วย ถึงแม้จะมีเครื่องวัดความเข้มข้นของยาดมสลบจากลมหายใจ แต่เครื่องนี้จะใช้ขณะผู้ป่วยได้รับยาดมสลบแบบต่อเนื่องขณะผ่าตัด ไม่ได้นำมาใช้ทั่วไปเหมือนการเป่าวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ที่สำคัญถ้าบุคคลนั้นสามารถพูดคุยหรือเดินได้ ก็แสดงว่าระดับ ยาดมสลบในลมหายใจมีน้อยมากหรือไม่สามารถพบได้เลย ทำให้การตรวจทำได้ยากมาก
พ.ต.อ. พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม (ผกก.1 บก.ป.) แนะนำวิธีเมื่อหญิงสาวจำเป็นต้องใช้บริการแท็กซี่เพียงลำพัง ก่อนอื่นไม่ใช่ว่าเรามองว่าคนขับแท็กซี่ทุกคนไม่ดี แต่เพราะอาชีพแท็กซี่เป็นอาชีพที่ใครมาขับก็ได้ ไม่ต้องทำประวัติอาชญากร ดังนั้นเมื่อขึ้นรถแท็กซี่วิธีที่ดีที่สุดคือให้จดรายละเอียดของคนขับซึ่งจะมีติดไว้ในรถ จากนั้นโทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่พี่น้อง ญาติ หรือเพื่อนว่าเราอยู่รถแท็กซี่ สีอะไร ทะเบียนหมายเลขอะไร และคนขับชื่ออะไร โดยสารจากไหนไปไหน โดยส่งเสียงดังๆอย่างน้อยถ้าคนขับแท็กซี่กำลังคิดร้ายอยู่ก็จะเริ่มไม่กล้า เป็นการป้องกันวิธีหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุ
ต้องรู้จักสังเกตภายในรถ เช่น คนขับหน้าตาท่าทางดูน่าไว้วางใจหรือไม่ มีอาการง่วง หรือมึนเมาหรือเปล่า รวมทั้งต้องจดจำทะเบียนรถไว้ นอกจากนี้ต้องตรวจดูชื่อคนขับและดูรูปว่าใบหน้าตรงกันกับคนที่ขับรถอยู่หรือไม่ ถ้าดูพฤติกรรมของคนขับแล้วผิดปกติ ให้บอกแท็กซี่จอดและลงจากรถทันที หรือถ้าจะให้ดีหญิงสาวควรพกสเปรย์ป้องกันตัวไว้
สำหรับวิธีการเลือกที่นั่งให้ปลอดภัย หากเรานั่งโดยสารรถแท็กซี่ไปคนเดียวควรเลือกที่นั่งด้านหลังคนขับ โดยนั่งให้ชิดประตูด้านขวา เพราะมีเบาะกั้นและเป็นด้านเดียวกับคนขับ ทำให้ยากต่อการที่คนขับจะหันมาใช้อาวุธ หรือใช้สารเคมีและยาสลบต่างๆ จึงเป็นการยากที่คนขับจะจู่โจมเราด้วย
ที่สำคัญหากเรารู้ตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับคนร้ายอันดับแรกต้องตั้งสติ และหาทางลงจากรถแท็กซี่ให้เร็วที่สุด จากนั้นขอความช่วยเหลือจากคนใกล้เคียง หรือโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือญาติพี่น้องรวมทั้งจดจำทะเบียนรถ สี ยี่ห้อ หน้าตาของคนขับ อายุ ลักษณะการแต่งกาย ตำหนิรูปพรรณที่สามารถจดจำได้ หรือชื่อนามสกุลของคนขับที่ติดไว้ด้านหน้ารถ จดจำให้ได้มากที่สุดเพื่อง่ายต่อการติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
ส่วนกระแสข่าวที่เราทั้งหลายรับรู้มานั้น ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเคยมีแท็กซี่รายใดมอมยาผู้โดยสารแล้วถูกจับได้ เพราะผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักจะมาแจ้งความหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว และไม่มีหลักฐานที่สามารถติดตามตัวคนร้ายได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องป้องกันตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ถึงเราจะยังไม่รู้ว่าแท็กซี่สามารถมอมยาได้จริงหรือไม่ แต่เราก็อย่าประมาท ขอให้เดินทางด้วยความระมัดระวังนะคะ