1. กินไขมันชนิดเต็มรูป
ผ่อนคลายลงบ้างก็ได้นะคะ หากตลอดปีที่ผ่านมาคุณบริโภคเฉพาะอาหารที่พร่องมันเนย และไม่กินอะไรที่เราโปรดปรานแต่มีไขมันอยู่บ้าง สังเกตมั้ยล่ะว่าน้ำหนักก็ไม่ได้ลดลงสักเท่าไรเลย รู้มั้ยคะว่าอาหารประเภทพร่องมันเนยที่มีไขมันน้อยนั้นมักจะเพิ่มความหวานหรือน้ำตาลมากๆเพื่อชดเชยไขมัน ซึ่งน้ำตาลจำนวนมากนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันได้ภายหลัง จริงๆแล้วไขมันในอาหารจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มทำให้คุณไม่กินมากเกินไป
2. เลือกกินโปรตีนเป็นมื้อค่ำ
กินสลัดผักกับเนื้อสัตว์ที่ให้โปรตีนชนิดดี เช่น เนื้อปลาไม่ติดมันหรือเนื้อไก่ เต้าหู้หรือกินออมเล็ตใส่ผัก ถั่วต่างๆหรือผัดเนื้อต่าง การกินโปรตีนจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณคงที่ ทำให้คุณหลับดีขึ้น และช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ การกินคาร์โบไฮเดรตจากแป้ง เช่น ขนมปัง พาสต้า และมันฝรั่งจะไปเก็บสะสมเป็นไขมันยามคุณหลับ....!!
3. ดื่มแอลกอฮอล์น้อยลงครึ่งนึง
ถ้าเลิกดื่มไม่ได้จริงๆก็ควรลดปริมาณลงครึ่งหนึ่ง ว็อดก้า 1 แก้ว ขนาด 30 ซีซี. ให้พลังงานถึง 295 กิโลจูลส์ (ก่อนเติมมิกเซอร์) ส่วนไวน์ 1 แก้วให้พลังงานถึง 533 กิโลจูลส์ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อต้นขาของคุณแน่ๆ คุณควรจิบช้าๆ หรือดื่มน้ำเปล่าคั่นระหว่างแก้ว เพื่อจะได้มีอะไรติดมือไว้ดื่มระหว่างเข้าสังคม
4. เลือกกินแต่อาหารที่มี GI ต่ำ
GI ย่อมาจาก Glycaemic Index ซึ่งเป็นการจัดอันดับของอาหารชนิดที่ให้คาร์โบไฮเดรตตามผลที่มันมีต่อระดับกลูโคสในเลือด อาหรที่มี GI ต่ำ จะเป็นผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนอาหารที่มี GI สูง จะถูกร่างกายดูดซึมรวมเร็วและทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง อาหารที่มี GI ต่ำจะแตกตัวช้ากว่า และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่มากกว่า ทำให้คุณอิ่มนานขึ้น ลองสังเกตข้างกล่องของอาหารของคุณดูสิคะ อาหารที่มีค่า GI ต่ำ ได้แก่ ขนมปังทำจากแป้งไม่ขัดขาว รำข้าว แป้งฮิวมัส ถั่วเมล็ดต่างๆ แป้งไม่ขัดขาว แอปเปิล ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ ถั่วชิกพี นม และโยเกิร์ต
5. กินถั่วเมล็ดดิบ
เลือกกินถั่วดิบดีกว่าถั่วอบ อาหารจำพวกถั่วจะมีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนและเชิงเดี่ยวซึ่งเป็จไขมัน "ชนิดดี" และร่างกายนำไปใช้งานใส่วนที่เนื้อเยื่อของเซลล์ต่างๆในเส้นประสาท สมองและเซลล์ผิวหนังเพื่อช่วยดูดซึมวิตามินต่างๆ ชนิดที่ละลายไขมันได้เข้าสู่ร่างกาย แต่เมื่อนำถั่วไปอบ ก็ไม่ถือว่ามีไขมันชนิดดีอีก เพราะถั่วอบมักจะถูกนำไปชโลมน้ำมันเพื่อเพิ่มรสชาติ และเมื่อไขมันถูกความร้อนก็จะเปลี่ยนโครงสร้างสารเคมีกลายเป็นไขมันอิ่มตัว ที่เมื่อกินมากเกินไปอาจทำให้มีคอลเลสเตอรอลในเลือดสูงและเกี่ยวกับการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน โรคอ้วนและโรคเบาหวานขั้นต้น
6. เพิ่มไฟเบอร์ในอาหาร
ไฟเบอร์หรือกากใยในอาหารจะช่วยชะล้างสารพิษในระบบการย่อยและทำให้คุณรู้สึกอิ่มด้วย จะหาเพิ่มได้จากการกินผักสดที่มีไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะในผักใบเขียวต่างๆ เช่น บร็อคโคลี่และปวยเล้ง อาหารอื่นๆที่มีไฟเบอร์สูงก็มีข้าวโอ๊ต ธัญพืชต่างๆ ถั่วฝักต่างๆและถั่วเมล็ดต่างๆ หรือคุณอาจกินอาหารเสริมไฟเบอร์ดูก็ได้
7. เผาผลาญไขมันด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว
สักหนึ่งแก้วหลังตื่นนอนก็จะช่วยล้างสารพิษจากตับได้อย่างดี ที่ต้องกำจัดสารพิษออกจากตับ ก็เพราะตับมีหน้าที่เผาผลาญไขมันที่นำไปใช้เป็นพลังงาน ดังนั้นตับที่แข็งแรงดีจะช่วยทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
8. ปรุงอาหารด้วยพริก ขิงและสาหร่ายทะเล
อาหารประเภทนี้จะเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย (รวมถึงชาเขียวด้วย) แถมยังเพิ่มรสชาติโดยไม่เพิ่มไขมันให้อาหารอีกต่างหาก นอกจากนี้การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ก็สำคัญมากเพราะร่างกายที่ขาดน้ำ อาจทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานช้าลงไปด้วย
9. กินน้ำตาลจริงๆ
การกินของหวานและอาหารที่ใส่น้ำตาลเทียม (เช่น หมากฝรั่ง อมยิ้ม โยเกิร์ต และเครื่องดื่มไดเอทรสผลไม้ต่าง) อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะคุณไม่ได้รับพลังงานที่แท้จริงทำให้คุณยังรู้สึกหิวอยู่และยิ่งอยากกินน้ำตาลมากขึ้น กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไม่สิ้นสุด ควรเลือกกินน้ำตาลจริงๆดีกว่าค่ะ แต่กินให้น้อยลง
10. รู้จักตั้งกฎให้ตัวเอง
ควรกินมื้อค่ำก่อนทุ่มตรงเพื่อให้ร่างกายมีโอกาสย่อยอาหารก่อนที่คุณจะเอนตัวลงนอน (ระบบเผาผลาญ พลังงานของคุณจะทำงานช้าเมื่อคุณหลับ) ควรกินอาหารทุก 4 ชั่วโมง เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ การอดอาหารบางมื้อจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้คุณอ่อนเพลียและเริ่มอยากได้น้ำตาลมากขึ้น ควรกินอาหารภายใน 20 นาที หลังออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ทันทีแทนที่จะสะสมไว้ในรูปไขมัน
อ่านตอนที่ 2 กันต่อได้เลยค่ะ << cLiCk