YSL LOVES YOUR LIPS




การแต่งแต้มเรียวปาก คือการแสดงเจตจำนงของสตรีอดีตอันรุ่งเรืองรังสรรค์โดยอีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ 

ลิปสติกมีความสามารถพิเศษในการนำเสนอตัวเองในรูปแบบใหม่อยู่เสมอ ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่ลิปสติกไม่ได้รับการร้อยเรียงเข้าเป็นองค์ประกอบหนึ่งในโครงสร้างทางวัฒนธรรมของโลก ลิปสติกอยู่คู่กับผู้หญิงเสมอมา และคอยแต่งแต้มสีสันให้กับชีวิตของพวกเธอเรื่อยมา ทุกยุคทุกสมัย 

พลังซึ่งไม่เคยถดถอยของลิปสติกซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตำนานแห่งเครื่องสำอาง จุดประกายแรงบันดาลใจให้อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ สร้างสรรค์ ROUGE PUR ลิปสติกแท่งแรกของแบรนด์ขึ้นในปี 1978 และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ROUGE PUR ลิปสติกซึ่งมีทั้งความเก๋ ความเป็นขบถ และความจัดจ้านรวมอยู่ในแท่งเดียวนี้ก้าวเข้าสู่โลกของเมคอัพแนวใหม่ สี Le Fuchsia หมายเลข 19 ของ ROUGE PUR ซึ่งออกวางจำหน่ายในปีถัดมา กลายเป็นขบถแห่งวงการลิปสติกยุคใหม่ไปในทันที ด้วยความตรงกันข้ามอย่างสุดขั้วกับโทนสีพาสเทลสวยหวานที่ครองความนิยมมายาวนาน เปลี่ยนจากความสุภาพเรียบร้อยถูกกาลเทศะ สู่ความหรูหราฉูดฉาดซึ่งเข้ากับการมองโลกในแง่ดีและความเกินขอบเขตของสาวสมัยใหม่ได้ดีกว่า

ในปี 2010 ลิปสติกอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ หวนกลับมาสร้างตำนานบทใหม่ โดยเพิ่มคำว่า COUTURE ต่อท้ายชื่อ ROUGE PUR บรรจุในปลอกทรงเหลี่ยมสีทองเคลือบเงาเลอค่า ซึ่งเป็นตัวแทนของการผสมผสานวัฒนธรรมแห่งยุคสมัยได้เป็นอย่างดี “ROUGE PUR COUTURE สะท้อนถึงแนวคิดการออกแบบอาภรณ์สตรีของปารีสและเสน่ห์แบบตะวันออก รวมถึงอิทธิพลต่าง ๆ ที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนในโลกของอีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์” แอมเบอร์ บุตเชิร์ต (Amber Butchart) นักประวัติศาสตร์แฟชั่น นักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ และนักเขียนชาวอังกฤษ อธิบาย ROUGE PUR COUTURE ในปลอกสีทองดูราวกับศิลปวัตถุล้ำค่า ได้รับความสนใจอย่างสูงในฐานะหนึ่งในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางชิ้นแรก ๆ ของอีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ที่ให้ความรู้สึกหรูหราและรุ่มรวยอย่างแท้จริง 

ลิปสติกอยู่คู่กับผู้หญิงเสมอมา และคอยแต่งแต้มสีสันให้กับชีวิตของพวกเธอมาทุกยุคทุกสมัย 


ลิปสติกคือการแสดง

ลิปสติกในฐานะ WARPAINT

ย้อนไปหลายสิบปีก่อนหน้านั้น ในช่วงทศวรรษ 1930 มีการผลิตภาพยนตร์ออกฉายมากขึ้นเป็นลำดับ และความนิยมเข้าโรงภาพยนตร์บ่อยขึ้น ทำให้การรับรู้เปลี่ยนไป “ยุคทองของฮอลลีวูดเริ่มมีอิทธิพลเหนือผู้สร้างกระแสนิยมกลุ่มเดิม ๆ อย่างกลุ่มชนชั้นสูง ส่งผลให้การแต่งหน้ากลายเป็นเรื่องของคนทุกชนชั้น” แอมเบอร์ บุตเชิร์ต กล่าว เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ลิปสติกแพร่หลายไปสู่มือของผู้หญิงในวงกว้าง

อย่างไรก็ดี ลิปสติกมาเริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพของผู้หญิงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มสตรีที่เรียกร้องสิทธิเลือกตั้งและผู้หญิงที่ทำงานให้กับฝ่ายสนับสนุนสงครามล้วนทาลิปสติก ในช่วงเวลาแห่งการดิ้นรนต่อสู้และความไม่แน่นอน ลิปสติกมอบอัตลักษณ์ ความเบิกบาน และความเป็นผู้หญิงแก่พวกเธอ และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะเครื่องหมายแห่งเสรีภาพนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “ลิปสติกกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบทหาร ก่อให้เกิดความหมายใหม่ของคำว่า ‘warpaint’ ซึ่งเป็นคำอุปมาที่เข้าท่า” แอมเบอร์ บุตเชิร์ต กล่าว "ลิปสติกสามารถเป็นเครื่องหมายของความเข้มแข็งของสตรีเพศที่ทรงอานุภาพ มอบอิสรภาพและความเป็นมนุษย์แก่คุณ”


ออกจากเงามืดปรากฏสู่สายตา 

ที่สุดของท่วงท่าแห่งความงาม

แม้ว่าลิปสติกจะมีพลังที่ยากเอาชนะได้ แต่ก็ใช่ว่าจะได้รับการยกย่องเสมอไป “ห้างสรรพสินค้าช่วงปลายศตวรรษที่ 20 มีบทบาทสำคัญในการทำให้เครื่องสำอางสำหรับการแต่งหน้าโดดเด่นขึ้น โดยการจัดแสดงบนเคาน์เตอร์กระจก” แอมเบอร์ บุตเชิร์ต กล่าว “ก่อนหน้านั้น คุณต้องไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จากใต้เคาน์เตอร์ เพราะเมคอัพถูกมองว่าเป็นของใช้สำหรับผู้หญิงเต้นกินรำกินและโสเภณี”

การทาลิปสติก ซึ่งแต่เดิมเป็นเรื่องที่ต้องทำในที่รโหฐาน อย่างในร้านเสริมสวย หรือหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในที่สุดก็ถูกนำมาใช้ในที่สาธารณะ “ท่าทางในการแต่งแต้มเครื่องสำอางอื่นๆ อย่างการปัด
มาสคาร่าไม่ได้น่าดูนัก ขณะที่การทาลิปสติกเป็นกิริยาที่เย้ายวนชวนมอง” แอมเบอร์ บุตเชิร์ต กล่าวเพิ่มเติม และนับเป็นครั้งแรกที่ท่วงท่าอันเย้ายวนในการทาลิปสติกของคนๆ หนึ่ง ไม่เพียงทำให้ผู้ทาเองรู้สึกเพลิดเพลิน แต่ยังทำให้ผู้ที่เฝ้ามองอยู่เพลิดเพลินไปด้วย 

อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้เป็นหัวหอกในการทำให้การทาลิปสติกไร้ข้อจำกัดมาตั้งแต่แรกเริ่ม ROUGE PUR COUTURE มาพร้อมกระจกพกพาที่ช่วยให้ทาลิปสติกได้สะดวก และกลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์นับแต่นั้นเป็นต้นมา: การยกย่องท่วงท่าแห่งความงาม สาวอีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์คือตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของหญิงสาวผู้ท้าทาย ชีวิตชีวา และโดดเด่น 

ริมฝีปากเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจที่เครื่องหน้าอื่นๆ ไม่มี การทาลิปสติกบ่งบอกถึงพลังและความเย้ายวนของเจ้าของเรียวปากได้เป็นอย่างดี 


การแสดงความเย้ายวนให้เห็นเป็นรูปธรรม

ภาษากายอันเป็นสัญลักษณ์เชิงอีโรติก

ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามแยกความเย้ายวนออกจากภาพลักษณ์และท่าทางในการทาลิปสติก แม้นิยามของความเย้ายวนจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ทว่าความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ยังคงอยู่ “ปากเป็นบริเวณที่ไวต่อการกระตุ้นทางเพศเนื่องจากมีกลุ่มปลายประสาทหลายกลุ่ม” ลูซี่ เบียร์สเฟิร์ด (Lucy Beresford) นักจิตบำบัด นักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ และนักเขียนที่ทำงานอยู่ในลอนดอน กล่าว “ริมฝีปากเป็นส่วนที่เย้ายวนอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ การจุมพิตจึงเป็นความสุขทางกาย” การกดลิปสติกลงบนริมฝีปากให้ความรู้สึกนุ่ม ลิปสติกนวดคลึง โลมไล้ และไม่ผลักดัน ขูดขีด หรือทำให้ริมฝีปากบอบช้ำ ลิปสติกมีหน้าที่ส่งเสริมไม่ใช่แก้ไข 

“ริมฝีปากแดงเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์แข็งแรง” ลูซี่ เบียร์สเฟิร์ด กล่าว ริมฝีปากเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนที่เครื่องหน้าอื่นๆ ไม่มี “ดวงตาเกี่ยวข้องกับความไร้เดียงสา แต่ปากถูกมองว่าเป็นบริเวณที่เย้ายวนอย่างยิ่งของใบหน้า ดังนั้นการทาปากจึงบ่งบอกถึงพลังและความเย้ายวน” แอมเบอร์ บุตเชิร์ต กล่าวเพิ่มเติม

อันที่จริง สิ่งที่เร้าอารมณ์อย่างยิ่งคือภาพของผู้หญิงที่ทาลิปสติกสีแดง ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ผลงานของศิลปินดูมีเสน่ห์เป็นอมตะ “การทาลิปสติกสีแดงเป็นการแสดงตัวตนที่กล้าหาญวิธีหนึ่ง” เว่ย ไหล (Wei Lai) ศิลปินชาวจีน กล่าว “สีแดงนั้นฉูดฉาดทว่าสง่างาม สีชมพูเป็นสัญลักษณ์ของความเยาว์วัยและความเซ็กซี่ สีส้มหมายถึงแสงตะวันและสุขภาพ สีเป็นสื่อกลางของอารมณ์และความรู้สึก” อันที่จริง หากสีเป็นภาษารูปแบบหนึ่ง – ในธรรมชาติและในเชิงศิลปะ – สีสันสดใสที่เลือกมาแต่งแต้มเรียวปากก็สื่อความหมายในตัวเอง “ลิปสติกสีจัดๆ ที่ผู้หญิงใช้ทาปากเป็นเหมือนเครื่องช่วยเตือนให้ผู้อื่นมองเห็นเธอชัดขึ้น” เว่ย ไหล กล่าวเพิ่มเติม 

สำหรับศิลปินชาวฝรั่งเศส ฟาบรีซ อีแบร์ (Fabrice Hyber) “สีแดงคือมนุษย์ คือสัญญาณของบางสิ่งบางอย่างภายนอกที่มาจากภายในตัวคุณ เหมือนต้นเชอรี่ต้นฤดูใบไม้ผลิ แม้ก่อนผลิใบ บางครั้งคุณก็เห็นผลของมัน สีแดงคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนความมีชีวิตชีวาที่จะตามมา ผู้หญิงทาลิปสติกเพราะต้องการแสดงบางสิ่งบางอย่างจากภายใน” อีแบร์ซึ่งหลงใหลการล้อกันระหว่างความงามกับความเป็นสิ่งประดิษฐ์ของลิปสติกสีแดง สร้างสรรค์งานจิตรกรรมภาพไอคอนแห่งเครื่องสำอางนี้ชิ้นแรกเมื่ออายุ 20 ปี ในปี 2012 เขาสร้างสรรค์ผลงานชิ้นพิเศษ ที่มีชื่อว่า ‘The 1 Metre Cube of Beauty’ ประติมากรรมทรงลูกบาศก์ขนาดใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นโดยใช้ ROUGE PUR COUTURE ล้วนๆ “ผมชอบความดิบของลิปสติกสีแดง ผู้พบเห็นรู้สึกได้ถึงพลังของสีนี้ ลิปสติกสีแดงยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความเป็นวัตถุนิยมทางกามารมณ์อีกด้วย”


เครื่องหมายของการเสริมพลังอำนาจ 

เพื่อที่สุดแห่งความเป็นหญิง

ถึงแม้ว่าท่าทางการทาลิปสติกอาจดูเหมือนเป็นการบริหารเสน่ห์ หากแท้ที่จริงแล้วการทาลิปสติกก็เปรียบเสมือนละครที่แสดงเพื่อผู้ชมเพียงคนเดียว นั่นคือ ตัวคุณเอง การแต่งแต้มเรียวปากด้วยสีสันทรงอานุภาพเป็นพิธีการของสตรีเพศโดยแท้ เป็นสิ่งที่ผู้หญิงเพลิดเพลินและชื่นชม ให้ความรู้สึกสนุกสนาน หรูหรา และเพิ่มพลังให้ตนเอง ด้วยเหตุนี้ การทาลิปสติกจึงกลายเป็นจริตที่เชื่อมโยงผู้หญิงแต่ละคนเข้าด้วยกัน “หลายพันปีก่อน สาวชนเผ่าพื้นเมืองใช้น้ำบีทรูททาปาก ซึ่งชวนให้นึกถึงการแต่งหน้าบางรูปแบบในปัจจุบัน ที่ไม่ได้ตั้งใจให้ดึงดูดใจเพศตรงข้ามเท่านั้น แต่เพื่อดึงดูดใจผู้หญิงด้วยกันด้วย” ลูซี่ เบียร์สเฟิร์ด กล่าว 

การทาลิปสติกไม่เพียงเป็นการเสริมความงาม แต่ยังเป็นห้วงเวลาที่ใจและกายได้เชื่อมโยงกันอีกด้วย “การทาลิปสติกเป็นสื่อกลางในการมีปฏิสัมพันธ์กับผิวและร่างกายของคุณเอง นั่นคือสิ่งที่ทำให้ลิปสติกเป็นไอคอนแห่งเครื่องสำอางที่สมบูรณ์แบบ” ลูซี่ เบียร์สเฟิร์ด กล่าว “ด้วยเหตุนี้ ลิปสติกจึงเป็นสัญลักษณ์ของการรักตัวเอง และยังเป็นเครื่องหมายของความเป็นขบถอีกด้วย”

เชื่อกันว่าจินตนาการเข้ากับขนบความงามหลักของอีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ได้ดี: ความเชื่อที่ว่าผู้หญิงทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกว่าตัวเองมีพลังและน่าอัศจรรย์ที่สุด ทุกที่ ทุกเวลา เมคอัพควรช่วยให้เธอดูเจิดจรัส โดยพื้นฐานแล้ว ลิปสติกเชื้อเชิญให้ผู้แต่งแต้มค้นหาแนวทางการแสดงอารมณ์ความรู้สึกในแบบของตนเอง ผู้ที่เชื่อในพลังของลิปสติก สะท้อนถึงความมั่นใจใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยรอยประทับของสีทาปากสีจัดจ้าน ความเป็นตัวตนผสานกับความเย้ายวน ความเป็นขบถ และความมีสไตล์ 

ลิปสติกเชื้อเชิญให้ผู้แต่งแต้มค้นหาแนวทางการแสดงอารมณ์ความรู้สึกในแบบของตนเอง ผู้ที่เชื่อในพลังของลิปสติก สะท้อนถึงความมั่นใจใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยรอยประทับของสีทาปากสีจัดจ้าน ความเป็นตัวตนผสานกับความเย้ายวน ความเป็นขบถ และความมีสไตล์ 


เรื่องราว
ที่ไม่รู้จบ 

ทว่ามีบทใหม่ ๆ 
ต่อไปเรื่อย ๆ 

เรื่องราวของลิปสติกมีหลายบทหลายภาค มีตัวละครนับล้าน และไม่เคยดำเนินไปสู่ตอนอวสานทว่าพัฒนา ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ เรื่องราวที่ไม่รู้จบซึ่งอีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ได้รวบรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ 

ไม่มีแบรนด์ความงามอื่นใดยืนอยู่แถวหน้าของนวัตกรรมด้านลิปสติกอย่างมั่นคงมากไปกว่าเรา แรกเริ่มเดิมที เรามี  ROUGE PUR COUTURE ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ตามมาด้วย ROUGE PUR COUTURE VERNIS À LÈVRES ในปี 2012 ซึ่งสร้างนิยามใหม่ให้กับลิปสติก ไม่ใช่ลิปสติก ไม่ใช่กลอส และไม่ใช่ลิปสเตน แต่คือวิธีใหม่ในการแต่งแต้มเรียวปาก
 
ปี 2015 ถือเป็นยุคใหม่ของการแต่งแต้มเรียวปาก ริ่เริ่มโดยนวัตกรรมอันน่าทึ่งจากอีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ VOLUPTÉ TINT-IN-OIL มอบสองความรื่นรมย์ในหนึ่งเดียว จากสีสันเจิดจ้าและคุณสมบัติบำรุงของออยล์ ขณะที่ ROUGE PUR COUTURE VERNIS À LÈVRES POP WATER ดับกระหายให้ริมฝีปากด้วยความชุ่มชื้นดุจน้ำพร้อมความแวววาว บางใส ตอนสำคัญสำหรับลิปสติกรุ่นใหม่ ไม่มีโอกาสไหนจะเหมาะสำหรับการแสดงตัวตนออกมาอย่างเต็มที่ไปกว่านี้อีกแล้ว 

อย่างไรก็ดี ดาวเด่นที่แท้จริงในเรื่องนี้ก็คือตัวผู้หญิงเอง พลัง ความสง่างาม ความเก่งกล้าท้าทาย และความสามารถของเธอในการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านสีสัน และนั่นคือจุดประสงค์ของมร. อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์

1978 ROUGE PUR
2008 ROUGE VOLUPTÉ
2010 ROUGE PUR COUTURE
2011 VOLUPTÉ SHEER CANDY
2012 ROUGE PUR COUTURE VERNIS À LÈVRES
2013 ROUGE VOLUPTÉ SHINE
2013 VERNIS À LÈVRES REBEL NUDES
2014 GLOSS VOLUPTÉ
2014 KISS & BLUSH
2015 ROUGE PUR COUTURE
2015 VERNIS À LÈVRES POP WATER
2015 VOLUPTÉ TINT-IN-OIL 





แสดงความคิดเห็น






Pooyingnaka Wellness


Advertisement