คางทูม(Mumps)
โรคนี้พบมากในกลุ่มเกกที่มีอายุประมาณ 5-10 ขวบ แต่จะพบน้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ และผู้ใหญ่ที่วัยเลย 40 ปี
สาเหตุและเชื้อที่ทำให้เกิดโรค
สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดอาการอักเสบของต่อมน้ำลายตรงบริเวณข้างหู ใต้ขากรรรไกร และใต้คาง ส่งผลให้เกิดอาการแก้มบวมหรือคางทูมขึ้น เชื้อที่ทำให้เกิดโรคนี้คือเชื้อไวรัสชื่อว่า มัมพส์ (Mumps) ซึ่งแพร่ระบาดได้รวดเร็ว จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยอาจปะปนมากับการไอ จาม และหายใจรดกัน ไปจนถึงการใช้จาน ชามช้อน หรือแก้วน้ำร่วมกัน
ลักษณะอาการ
เริ่มด้วยอาการปวดในหูขณะเคี้ยวหรือกลืนอาหาร มีไข้ตัวร้อน ต่อมน้ำลายข้างแก้มปวดและบวม จากนั้นสองถึงสามวันต่อมาเชื้อก็จะลุกลามไปต่อใต้คาง ใต้ขากรรไกร ทำให้เกิดอาการอักเสบปวดบวมจนเคี้ยวหรืออ้าปากไม่ถนัด บางรายอาจคางบวมข้างเดียว แต่บางรายก็อาจบวมพร้อมกันทั้งสองข้าง นอกจากผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ตัวร้อยตลอดระยะเวลาที่คางบวม ในขณะที่บางรายก็ไม่มีไข้เลย โดยปกติหากไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อน อาการบวมจะค่อย ๆ ยุบลงภายใน 3-5 วัน ส่วนอาการอื่น ๆ ก็จะทุเลาลงใน 1 สัปดาห์ หรือไม่เกิน 10 วัน
โดยทั่วไปทุกคนที่ได้รับเชื้อจะไวต่อโรคแต่เมื่อหายดีแล้วก็จะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามผู้ได้รับเชือที่ไม่มีอาการของโรคปรากฏ ก็อาจมีภูมิคุ้มกันได้เช่นเดียวกัน
เป็นคางทูมทำให้เป็นหมันได้?
กรณีนี้อาจเกิดได้หากบุคคงดังกล่างเป็นคางทูมหลังอายุ 12 ปี ขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยที่พอดีกับต่อมฮอร์โมนเพศของร่างกายกำลังเจริญเติบโตเต็มที่ประกอบกับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคนี้สามารถลามจากต่อมน้ำลายไปทำลายอวัยวะส่วนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเยื่อหุ้มสมองหรือแม้แต่ลูกอัณฑะของเพศชายซึ่งเป็นแหล่งผลิตสเปิร์มและรังไข่ของเพศหญิงแหล่งผลิตไข่เพื่อการสืบพันธุ์
และหากเชื้อลามไปยังตับอ่อน ก็อาจก่อให้เกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบการผลิตอินซูลิน อันนำไปสู่การป่วยเป็นเบาหวานในอนาคตได้
วิธีการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคคางทูมโดยเฉพาะฉะนั้นจึงต้องให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้รับประทานยาพาราเซตามองเพื่อแก้ปวดและลดไข้ ซึ่งปกติแล้วจะหายเองได้ใน 7-10 วัน ต้องให้ผู้ป่วยพักผ่อนเยอะ ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ หมั่นใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณคางทูมบ่อย ๆ ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย แต่งดอาหารหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้ปวดต่อมน้ำลายมากขึ้น และในกรณีที่ไข้สูงมาก หรือสงสัยว่าอาจเกิดอาการแทรซ้อน ควรรีบพาไปพบแพทย์ก่อน
นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาแบบพื้นบ้าน โดยการเขียนรูปเสือ หรือเขียนตัวอักษรคำว่าเสือ บนแก้มที่บวมของผู้ป่วยซึ่งเป็นเพียงความเชื่อที่มีผลต่อจิตใจของผู้ป่วยเท่านั้นเอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น
ถึงจะไม่มียารักษาแต่โรคคางทูมมีวัคซีน ซึ่งได้จากเชื้อมัมพส์ที่อ่อนฤทธิ์ โดยฉีดให้ได้ตั้งแต่เด็ก 1 ขวบ หรือฉีดให้เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นที่ไม่เคยเป็นโรคนี้ เมื่อได้รับวัคซีนแล้วจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต