โรคไอกรน: โรคติดต่อร้ายแรงที่ควรระวังในเด็ก
โรคไอกรน หรือ "Pertussis" เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากแบคทีเรีย Bordetella pertussis และสามารถพบการแพร่ระบาดในสถานศึกษาได้ง่าย การติดต่อของโรคนี้เกิดขึ้นจากการสัมผัสละอองฝอยที่มาจากการไอหรือจามของผู้ป่วย ส่งผลให้เป็นโรคที่สามารถระบาดได้รวดเร็วในกลุ่มเด็กเล็กและในโรงเรียนที่มีการรวมตัวของเด็กจำนวนมาก
อาการของโรคไอกรน
ในระยะแรกของโรคอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ต่ำ ๆ น้ำมูกไหล ไอ และคัดจมูก หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะเริ่มมีอาการไอรุนแรงที่ลักษณะไอติดต่อกันหลายครั้งจนหยุดหายใจชั่วขณะ บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการอาเจียนหลังจากไอ การไอรุนแรงแบบนี้เรียกว่า “Paroxysmal cough” หรือ "ไอกรน" และสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอลงได้
การแพร่เชื้อและการป้องกัน
โรคไอกรนแพร่เชื้อได้ง่ายในที่ที่มีการรวมกลุ่มคน เช่น โรงเรียน ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก หรือพื้นที่สาธารณะที่มีเด็กและผู้คนหนาแน่น การป้องกันโรคไอกรนที่สำคัญคือการฉีดวัคซีน DTaP สำหรับเด็ก ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก ควรเริ่มฉีดตั้งแต่แรกเกิดและตามตารางการฉีดวัคซีนที่แนะนำโดยแพทย์
วิธีการรักษาและการดูแล
หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อไอกรน ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและเริ่มการรักษาทันที การรักษามักใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะซิโทรมัยซิน (Azithromycin) หรือคลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin) เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ การให้ยาต้านเชื้อตั้งแต่ช่วงแรกของการติดเชื้อจะช่วยลดระยะเวลาของอาการและป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
วิธีการป้องกันการแพร่ระบาดในโรงเรียน
หากพบว่าโรงเรียนมีการระบาดของโรคไอกรน ควรมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด เช่น
+ คัดกรองเด็กที่มีอาการไอและนำส่งพบแพทย์
+ แยกเด็กที่มีอาการออกจากกลุ่มเพื่อนเพื่อลดการแพร่เชื้อ
+ ส่งเสริมให้ล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากากเมื่อมีอาการไอหรือจาม
+ ทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ และเก้าอี้ เพื่อฆ่าเชื้อโรค
บทสรุป
โรคไอกรนเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนและการดูแลสุขอนามัยที่ดี ในช่วงที่มีการระบาด โรงเรียนและผู้ปกครองควรให้ความร่วมมือในการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคสู่ผู้อื่น