ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคไตเสื่อม: เคล็ดลับการใช้ชีวิตที่ช่วยชะลอการเสื่อมของไต




ไตเสื่อม (Chronic Kidney Disease - CKD)
ไตเสื่อม คือภาวะที่การทำงานของไตลดลงเรื่อยๆ และไม่สามารถกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

หน้าที่ของไต
ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกรองของเสียและสารพิษออกจากเลือดผ่านทางปัสสาวะ รวมถึง
- ควบคุมสมดุลของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย
- ผลิตฮอร์โมน เช่น อิริโทรพอยอิติน (Erythropoietin) เพื่อสร้างเม็ดเลือดแดง
- ควบคุมความดันโลหิต

สาเหตุของไตเสื่อม
1. โรคเบาหวาน: น้ำตาลในเลือดสูงทำลายหลอดเลือดที่ไต
2. ความดันโลหิตสูง: ความดันสูงส่งผลต่อการทำงานของหลอดเลือดในไต
3. โรคไตเรื้อรังอื่นๆ: เช่น นิ่วในไต หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยครั้ง
4. การใช้ยาที่เป็นพิษต่อไต: เช่น ยาแก้ปวดบางชนิด หรือยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน
5. กรรมพันธุ์: โรคไตบางชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรม

อาการของไตเสื่อม
ระยะแรกอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้นอาจพบ
- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น มีฟองมาก ปัสสาวะน้อย หรือบ่อยในตอนกลางคืน
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- บวมที่หน้า มือ หรือข้อเท้า
- คันตามผิวหนัง
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
- ความดันโลหิตสูง

การแบ่งระยะของไตเสื่อม
ไตเสื่อมแบ่งเป็น 5 ระยะ ขึ้นอยู่กับค่าการกรองของไต (GFR):
ระยะที่ 1: ไตยังทำงานปกติ แต่มีความเสี่ยง (GFR ≥ 90 ml/min)
ระยะที่ 2: ไตเริ่มเสื่อมเล็กน้อย (GFR 60-89 ml/min)
ระยะที่ 3: ไตเสื่อมปานกลาง (GFR 30-59 ml/min)
ระยะที่ 4: ไตเสื่อมรุนแรง (GFR 15-29 ml/min)
ระยะที่ 5: ไตวายเรื้อรัง ต้องฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต (GFR < 15 ml/min)

การวินิจฉัยโรคไตเสื่อม
1. ตรวจเลือด: ตรวจค่าครีเอตินิน (Creatinine) เพื่อประเมินการทำงานของไต
2. ตรวจปัสสาวะ: เพื่อหาความผิดปกติ เช่น โปรตีนหรือเลือดในปัสสาวะ
3. การวัดความดันโลหิต: เนื่องจากความดันโลหิตสูงสัมพันธ์กับโรคไต
4. การตรวจภาพถ่าย: เช่น อัลตราซาวด์หรือ CT scan เพื่อดูโครงสร้างของไต

การรักษาและการจัดการโรคไตเสื่อม
1. ควบคุมโรคร่วม
- คุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน
- ลดความดันโลหิตด้วยยาที่เหมาะสม เช่น ACE inhibitors หรือ ARBs

2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
- ลดการบริโภคเกลือ (ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน)
- ลดโปรตีนในอาหารในบางกรณี เพื่อไม่ให้ไตทำงานหนักเกินไป
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม

3. ลดการใช้ยาที่เป็นพิษต่อไต
- หลีกเลี่ยงยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- ระมัดระวังการใช้สมุนไพร

4. การฟอกไต
สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย จำเป็นต้องฟอกไตด้วยวิธี Hemodialysis หรือ Peritoneal Dialysis

5. การปลูกถ่ายไต
เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่สามารถหาผู้บริจาคไตได้

การป้องกันโรคไตเสื่อม
1. ตรวจสุขภาพประจำปี: โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง
2. ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม: วันละ 1.5-2 ลิตร (เว้นแต่แพทย์แนะนำให้จำกัดน้ำ)
3. หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม: เพื่อลดความดันโลหิตและการทำงานหนักของไต
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เพื่อควบคุมน้ำหนักและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง
5. เลิกสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: เพื่อลดภาระของไต

ไตเสื่อมเป็นโรคที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะไตวายเรื้อรัง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรักษาตั้งแต่ระยะแรกสามารถช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้ การป้องกันและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคไตเสื่อม


การดูแลตัวเองเมื่อทราบว่าเป็นโรคไตเสื่อม (Chronic Kidney Disease - CKD) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการชะลอการเสื่อมของไตและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน

การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยไตเสื่อม
1. ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- พบแพทย์ตามนัดเสมอเพื่อติดตามค่าการทำงานของไต (GFR) และปรับการรักษา
- หากมีโรคร่วม เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ต้องควบคุมให้ดี

2. ควบคุมความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือด
- ใช้ยาลดความดันโลหิตที่เหมาะสม เช่น ACE inhibitors หรือ ARBs
- หลีกเลี่ยงการรับประทานเกลือและน้ำตาลในปริมาณมาก

3. จำกัดการใช้งานไต
หลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มภาระการกรองของไต เช่น อาหารที่มีโปรตีนหรือแร่ธาตุสูง

4. ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
โดยทั่วไปดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร แต่ควรปรึกษาแพทย์ หากมีข้อจำกัดในการดื่มน้ำ

5. หลีกเลี่ยงสารพิษต่อไต
- งดการใช้ยาแก้ปวดที่ไม่จำเป็น เช่น NSAIDs (ไอบูโพรเฟน, ไดโคลฟีแนค)
- หลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ไม่มีการรับรอง

6. ควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกาย
ออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ เพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยไตเสื่อม
1. ลดปริมาณเกลือ (โซเดียม)
- จำกัดการบริโภคเกลือไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม อาหารกระป๋อง หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
- ใช้สมุนไพรสด เช่น กระเทียม หอมแดง หรือพริกไทยแทนการปรุงรสด้วยเกลือ

2. ควบคุมปริมาณโปรตีน
- เลือกโปรตีนคุณภาพสูง เช่น เนื้อปลา ไข่ขาว หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
- ในผู้ป่วยระยะ 3-4 ควรจำกัดโปรตีน 0.6-0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน (ปรึกษานักโภชนาการ)

3. ลดอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง (โดยเฉพาะในระยะ 3-5)
- หลีกเลี่ยง: กล้วย ส้ม มะเขือเทศ อะโวคาโด ผักโขม
- แช่ผักในน้ำและลวกก่อนปรุงอาหารเพื่อช่วยลดโพแทสเซียม

4. ลดอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง
- หลีกเลี่ยง: นม ชีส เครื่องในสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง
- เลือกนมที่มีฟอสฟอรัสต่ำ เช่น นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองสูตรพิเศษ

5. เลือกอาหารไขมันต่ำและไฟเบอร์สูง
- รับประทานผักใบเขียว ผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง (หลีกเลี่ยงผลไม้ที่โพแทสเซียมสูง)
- เลือกใช้น้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก

6. จำกัดการบริโภคน้ำในระยะรุนแรง
ในระยะที่มีภาวะปัสสาวะน้อยหรือไตเสื่อมระยะสุดท้าย ควรจำกัดน้ำตามที่แพทย์แนะนำ

การดูแลตัวเองเมื่อทราบว่าเป็นโรคไตเสื่อม (Chronic Kidney Disease - CKD) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการชะลอการเสื่อมของไตและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน

ตัวอย่างอาหารที่เหมาะสม
1. ข้าวกล้อง + เนื้อปลาอบสมุนไพร + ผักลวก
2. โจ๊กข้าวโอ๊ต + ไข่ขาวต้ม + ผักต้มจิ้มน้ำพริก (งดเค็ม)
3. สลัดผัก + น้ำมันมะกอก + ไก่ย่างไม่ใส่เกลือ
4. ต้มจืดฟักทอง + เนื้อไก่ต้ม + ข้าวกล้อง

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด
- อาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า กะปิ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
- สมุนไพรที่ไม่มีการรับรอง เช่น ยาแผนโบราณที่ไม่ได้มาตรฐาน
- ชีสและนมวัวในปริมาณมาก

การดูแลผู้ป่วยไตเสื่อมต้องอาศัยการควบคุมอาหารและปรับพฤติกรรมอย่างเคร่งครัด โดยควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับระยะของโรค รวมถึงการติดตามการทำงานของไตอย่างต่อเนื่อง เพื่อชะลอการเสื่อมและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว.





Pooyingnaka Wellness