ชายแก่ร่างกายบอบบาง อาศัยอยู่กับลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายวัย 5ขวบ
มือของชายชราสั่นเทา ดวงตาฝ้าฟางทุกครั้งที่ก้าวเดิน ฝีเท้าก็ง่อนแง่นไม่มั่นคง
เมื่อครอบครัวรับประทานอาหารกันที่โต๊ะอาหาร คุณปู่ก็มือสั่น สายตาไม่ดี ทำให้
การรับประทานอาหารเป็นไปอย่างทุลักทุเล และถั่วในช้อนก็มักจะกลิ้งหล่นลงพื้นบ่อยๆ
พอคว้าจับแก้วน้ำ น้ำก็หกเลอะเทอะผ้าปูโต๊ะ จนทำให้ลูกชายและลูกสะใภ้รำคาญ
กับความเลอะเทอะเปรอะเปื้อนที่ต้องเช็ดล้าง
คนเป็นลูกชายจึงพูดออกมาว่า "เราคงต้องจัดการอะไรสักอย่างกับคุณพ่อเสียแล้ว
ผมทนไม่ไหวที่ต้องเห็นน้ำหกกระฉอก เคี้ยวอาหารเสียงดัง และอาหารหกเลอะพื้นอีกต่อไป"
ดังนั้นเค้าจึงนำโต๊ะไม้ตัวเล็กๆไปวางไว้ที่มุมห้องสำหรับคุณปู่ ส่วนเค้า ภรรยาและ
ลูกชายก็นั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะใหญ่
........คุณปู่นั่งรับประทานอาหารคนเดียวที่มุมห้อง........
และเมื่อชายชราทำจานกระเบื้องแตกไป2-3ใบ จานของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นจานไม้แทน
บางครั้งคนในครอบครัวเหลือบหันไปมองคุณปู่ที่นั่งเงียบๆคนเดียว ก็ได้เห็นน้ำตาที่รื้นขึ้นมา
กลบตาฝ้าฟางคู่นั้น
กระนั้น ...ถ้อยคำเพียงอย่างเดียวที่ลูกชายและลูกสะใภ้พูดกับผู้เฒ่าคือ การติเตียน...
น้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญ ทุกครั้งที่เค้าทำช้อนหรือส้อมตก หรืออาหารหกเลอะเทอะ
.....หลานชายวัย 5ขวบเฝ้ามองทุกอย่าง อย่างเงียบๆ....จนอายุ 8ขวบ
วันหนึ่งหลังทานอาหารเย็นแล้ว ผู้เป็นพ่อก็เห็นเด็กชายเล่นเศษไม้อยู่บนพื้น
จึงถามอย่างเอ็นดูว่า"ลูกกำลังทำอะไรอยู่เหรอลูก บอกพ่อหน่อยได้มั้ย"
ลูกก็ตอบด้วยเสียงน่าฟังพอกัน " อ๋อ ผมกำลังทำชามไม้ใบเล็กๆให้คุณพ่อ คุณแม่ตอนผมเป็น
ผู้ใหญ่ไงครับ"
เด็กชายวัย 8ขวบส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ แล้วก็ง่วนกับเหล่าแผ่นไม้ในมือต่อไป
ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ถึงกับฟังแล้วอึ้ง...ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลมาอาบแก้มของสองผัวเมียคู่นั้น
แม้ไม่มีใครปริปากพูดออกมา หากทั้งคู่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป
เย็นวันต่อมาผู้เป็นลูกชายจูงชายชราผู้เป็นพ่อมานั่งรับประทานอาหารร่วมกันบนโต๊ะ
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชายชราก็รับประทานอาหารทุกมื้อร่วมกับบุตรชาย..บุตรสะใภ้
และหลานชาย
.....และด้วยเหตุผลบางประการ...สองสามีภรรยาคู่นี้ดูเหมือนจะไม่สนใจอีกว่า น้ำจะกระฉอก
หรือผ้าปูโต๊ะจะเป็นรอยด่างดำเพียงใด....
มือของชายชราสั่นเทา ดวงตาฝ้าฟางทุกครั้งที่ก้าวเดิน ฝีเท้าก็ง่อนแง่นไม่มั่นคง
เมื่อครอบครัวรับประทานอาหารกันที่โต๊ะอาหาร คุณปู่ก็มือสั่น สายตาไม่ดี ทำให้
การรับประทานอาหารเป็นไปอย่างทุลักทุเล และถั่วในช้อนก็มักจะกลิ้งหล่นลงพื้นบ่อยๆ
พอคว้าจับแก้วน้ำ น้ำก็หกเลอะเทอะผ้าปูโต๊ะ จนทำให้ลูกชายและลูกสะใภ้รำคาญ
กับความเลอะเทอะเปรอะเปื้อนที่ต้องเช็ดล้าง
คนเป็นลูกชายจึงพูดออกมาว่า "เราคงต้องจัดการอะไรสักอย่างกับคุณพ่อเสียแล้ว
ผมทนไม่ไหวที่ต้องเห็นน้ำหกกระฉอก เคี้ยวอาหารเสียงดัง และอาหารหกเลอะพื้นอีกต่อไป"
ดังนั้นเค้าจึงนำโต๊ะไม้ตัวเล็กๆไปวางไว้ที่มุมห้องสำหรับคุณปู่ ส่วนเค้า ภรรยาและ
ลูกชายก็นั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะใหญ่
........คุณปู่นั่งรับประทานอาหารคนเดียวที่มุมห้อง........
และเมื่อชายชราทำจานกระเบื้องแตกไป2-3ใบ จานของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นจานไม้แทน
บางครั้งคนในครอบครัวเหลือบหันไปมองคุณปู่ที่นั่งเงียบๆคนเดียว ก็ได้เห็นน้ำตาที่รื้นขึ้นมา
กลบตาฝ้าฟางคู่นั้น
กระนั้น ...ถ้อยคำเพียงอย่างเดียวที่ลูกชายและลูกสะใภ้พูดกับผู้เฒ่าคือ การติเตียน...
น้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญ ทุกครั้งที่เค้าทำช้อนหรือส้อมตก หรืออาหารหกเลอะเทอะ
.....หลานชายวัย 5ขวบเฝ้ามองทุกอย่าง อย่างเงียบๆ....จนอายุ 8ขวบ
วันหนึ่งหลังทานอาหารเย็นแล้ว ผู้เป็นพ่อก็เห็นเด็กชายเล่นเศษไม้อยู่บนพื้น
จึงถามอย่างเอ็นดูว่า"ลูกกำลังทำอะไรอยู่เหรอลูก บอกพ่อหน่อยได้มั้ย"
ลูกก็ตอบด้วยเสียงน่าฟังพอกัน " อ๋อ ผมกำลังทำชามไม้ใบเล็กๆให้คุณพ่อ คุณแม่ตอนผมเป็น
ผู้ใหญ่ไงครับ"
เด็กชายวัย 8ขวบส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ แล้วก็ง่วนกับเหล่าแผ่นไม้ในมือต่อไป
ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ถึงกับฟังแล้วอึ้ง...ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลมาอาบแก้มของสองผัวเมียคู่นั้น
แม้ไม่มีใครปริปากพูดออกมา หากทั้งคู่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป
เย็นวันต่อมาผู้เป็นลูกชายจูงชายชราผู้เป็นพ่อมานั่งรับประทานอาหารร่วมกันบนโต๊ะ
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชายชราก็รับประทานอาหารทุกมื้อร่วมกับบุตรชาย..บุตรสะใภ้
และหลานชาย
.....และด้วยเหตุผลบางประการ...สองสามีภรรยาคู่นี้ดูเหมือนจะไม่สนใจอีกว่า น้ำจะกระฉอก
หรือผ้าปูโต๊ะจะเป็นรอยด่างดำเพียงใด....