Talk About Women

เมื่อทหารอมเริกาข่มขืนฆ่าหญิงชาวอิรัก(กอฟเขามา)
มาห์มูดิยา...เรื่องเล่าและปฏิกิริยาจากซีก ‘จิฮัดดิสต์’ <br>
<br>
มาห์มูดิยา...ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอับอายให้คนอิรักทั้งประเทศเท่านั้น แม้แต่จิฮัดดิสต์ซุนนีกลุ่มใหญ่ยังต้องออกมาเคลื่อนไหวประกาศ ‘การแก้แค้น’ <br>
<br>
<br>
<br>
แต่ก่อนที่เราจะไปดูรายละเอียดตรงนั้น ยังมีคำบอกเล่าเกี่ยวกับมาห์มูดิยาอีกหนึ่งเวอร์ชัน...ที่แทบจะไม่เป็นที่รับรู้กันในโลกภายนอกมุสลิมเท่าไหร่ แต่ก็มีแง่มุมคันๆ ให้มองข้ามไปไม่ได้ง่ายๆ <br>
<br>
<br>
<br>
เป็นเวอร์ชันที่มาจากสื่อกลุ่มหนึ่งที่ ‘ใกล้ชิดกับกลุ่มจิฮัดดิสต์เป็นพิเศษ’ หรือ ‘มีความเห็นใจฝ่ายต่อต้านในอิรักเป็นพิเศษ’ <br>
<br>
<br>
<br>
Islam Memo (หรือ Mafkarat al-Islam) คือหนึ่งในเครือข่ายนี้ เป็นสำนักข่าวที่มีการทำข่าวและนำเสนอข่าวจากมุมมองของฝ่ายต่อต้านเป็นภาษาอาหรับ มีฐานในริยาร์ด แต่เนื่องจากสำนักข่าวนี้มีพันธมิตรเป็นเว็บภาษาอังกฤษถึง 2 แห่ง จึงทำให้ข่าวสารของที่นี่ถูกแปลเผยแพร่ออกไปในวงกว้างมากขึ้น เว็บดังกล่าวได้แก่ JUS (Jihad Unspun หรือ JUSone News) ซึ่งเป็นเว็บรวมข้อมูลจากหลายแหล่งและมีการทำข่าวของตัวเองร่วมด้วย และเว็บ Free Arab Voice เจ้าของจดหมายข่าว ‘Iraqi Resistance Report’ ที่รวบรวมความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้านทั้งในซีกพรรคบาธและจิฮัดดิสต์มานำเสนอเป็นประจำ <br>
<br>
<br>
<br>
ในเอกสารทางราชการชิ้นหนึ่ง กระทรวงต่างประเทศของประธานาธิบดีบุชเรียกเครือข่ายนี้ (ประมาณ) ว่า ‘สามสหายจอมลวงโลก’ (A Trio of Disinformers) <br>
<br>
<br>
<br>
แน่นอนว่า ภายใต้สงครามข่าวสารเข้มข้น (ใครคือแชมป์ลวงโลกผู้มีประสิทธิภาพมาตลอด...ก็รู้ๆ กันอยู่) มันย่อมไม่มี ‘ความจริงสำเร็จรูป’ วางขายในอิรักอยู่แล้ว แต่ในเมื่อทุกฝ่ายต่างก็มีอะเจนดาและแรงจูงใจของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่สื่อฝรั่งที่มีการเซ็นเซอร์ในระดับต่างๆ กัน การรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับมาห์มูดิยาให้รอบด้าน ‘อย่างมีวิจารณญาณ’ น่าจะทำให้เรามองเห็นอะไรมากขึ้น <br>
<br>
<br>
<br>
และต่อไปนี้ก็คือปากคำของ ‘ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่ง’ ซึ่งให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของ Islam Memo โดย Free Arab Voice ร่วมกับ JUS ได้หยิบมาแปลและรายงานเพิ่มเติม วันที่ 5 กรกฎาคม ไม่มีการเปิดเผยชื่อว่าผู้เห็นเหตุการณ์คนนี้เป็นใคร แต่จากเนื้อหาพอจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็น ‘โอมาร์ จานาบี’ - คนที่ให้สัมภาษณ์วอชิงตันโพสต์ในช่วงใกล้เคียงกัน <br>
<br>
<br>
<br>
(วอชิงตันโพสต์...ซึ่งมีสำเนาเอกสารของแพทย์และรู้มาตั้งแต่แรกว่าอาเบียร์อายุ 14 แต่เซ็นเซอร์ไม่ยอมบอกน่ะแหละ) <br>
<br>
<br>
<br>
ลองมาฟังเพื่อนบ้านของอาเบียร์...พูดถึงเหตุการณ์วันนั้น ในเวอร์ชันที่แตกต่างออกไป <br>
<br>
<br>
<br>
“ตอนบ่าย 2 กองกำลังของอเมริกาบุกบ้านคาซิม พวกนั้นล้อมเขาไว้ แล้วผมก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น หลังปืนเงียบเสียงไปราวๆ ชั่วโมงหนึ่ง ผมก็เห็นควันคลุ้งลอยมาจากที่นั่น แล้วพวกทหารก็รีบออกมาจากบ้าน ต่อมา ทหารอเมริกันกับกองกำลังรักษาดินแดนอิรัก-หรือทหารชีอะต์-ก็ปิดล้อมพื้นที่ไว้ พวกเขาบอกเราว่าผู้ก่อการร้ายอัล-ไคดาเข้าไปในบ้านและฆ่าคนในบ้านหมดทุกคน พวกเขาไม่ยอมให้ใครเข้าไปในบ้านหลังนั้น แต่ผมบอกทหารชีอะต์คนหนึ่งว่า ผมเป็นเพื่อนบ้าน ผมขอเข้าไปดูหน่อยเพื่อจะได้เอาเรื่องคาซิมไปแจ้งข่าวให้พ่อของเขารู้ ทหารคนหนึ่งเลยยอมให้ผมเข้าไป” <br>
<br>
<br>
<br>
“พอผมเข้าไปในบ้าน ผมก็พบคาซิม เมียเขา และฮาเดลในห้องแรก พวกเขานอนจมกองเลือดอยู่ เลือดไหลนองจนลอดออกมาใต้ประตู ผมเอื้อมมือไปพลิกตัวแต่ไม่มีใครขยับเขยื้อน พวกนั้นสิ้นใจหมดแล้ว” <br>
<br>
<br>
<br>
“ผมไปที่ห้องของอาเบียร์ ผมเห็นไฟลุกออกมาจากตัวเธอ ที่อกและที่หัวของเธอ...ไฟกำลังไหม้อยู่ เธออยู่ในท่าที่น่าสงสารมาก ชุดกระโปรงสีขาวของเธอถูกเลิกขึ้นมาถึงคอ เสื้อชั้นในฉีกขาด ตรงหว่างขายังคงมีเลือดไหลออกมา แม้ว่าเธอจะสิ้นใจไปแล้ว คงจะสัก 15 นาทีแล้ว ท่ามกลางควันไฟที่คลุ้งอยู่ในห้อง เธอตายไปแล้ว ขอให้พระเจ้าโปรดดูแลดวงวิญญาณเธอด้วย ผมรู้ตั้งแต่วูบแรก ผมรู้ว่าเธอถูกข่มขืน ที่แขนและขาของเธอถูกมัด หน้าของเธอหันไปอีกทางหนึ่ง <br>
<br>
<br>
<br>
แล้วผมก็กลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว ผมร้องไห้ด้วยความสงสารเธอ ผมรีบดับไฟที่กำลังไหม้ร่างเธออยู่ ไฟไหม้ที่หน้าอก ผม และเนื้อบนใบหน้าของเธอ ผมหยิบผ้ามาคลุมให้ ขอให้พระเจ้าโปรดดูแลดวงวิญญาณเธอด้วย ทันใดนั้น ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าผมเอาเรื่องนี้ไปพูดหรือโวยวายข้างนอก ผมจะต้องถูกจับ ผมพยายามตั้งสติ ออกจากบ้านหลังนั้นไปเงียบๆ ด้วยท่าทีที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อที่จะเป็นประจักษ์พยานของเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดนี้ ผมจะได้เก็บสิ่งที่ผมเห็นนี้ไปเล่าต่อให้คนอื่นฟัง” <br>
<br>
<br>
<br>
“จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ วันที่ 9 มีนาคม แม่ของอาเบียร์แวะมาหาผม มาถามว่าจะให้อาเบียร์มานอนกับลูกสาวผมได้มั้ย อาเบียร์กลัว เพราะเธอเห็นท่าทีของพวกทหารที่ชอบจ้องมองเธอเวลาออกไปให้อาหารวัว ผมตอบตกลง เพราะบ้านคาซิมอยู่ใกล้ป้อมทหารมากประมาณ 15 เมตรราวๆ นั้น บอกตามตรง ตอนแรกผมไม่คิดเลยว่า เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอได้ เพราะเธอดูเด็กมาก อายุสัก 16 เองมั้ง เธอยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่เลย แต่ผมก็บอกแม่เธอว่า…มาเถอะ ไม่มีปัญหา เธอมานอนค้างที่บ้านเราคืนหนึ่งแล้วก็กลับไปตอนเช้า เราไม่คิดเลยว่า พวกทหารอเมริกาจะทำเรื่องแบบนี้กลางวันแสกๆ” <br>
<br>
<br>
<br>
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? ต่อไปนี้ เป็นส่วนที่จะนำไปสู่เรื่องราว ‘การแก้แค้น’ ของพวกจิฮัดดิสต์ <br>
<br>
<br>
<br>
“ทหารฝ่ายยึดครองปิดล้อมบ้านหลังนั้นไว้ประมาณสามชั่วโมง และบอกชาวบ้านว่า ครอบครัวนี้ถูกผู้ก่อการร้ายฆ่าเพราะพวกเขาเป็นชีอะต์ ไม่มีใครเชื่อ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า...พ่อของอาเบียร์เป็นคนที่ดีที่สุดในเมืองคนหนึ่ง เป็นคนดีมีคุณธรรมน่านับถือคนหนึ่ง และเขาก็เป็นซุนนี ไม่ใช่ชีอะต์ ทุกคนต่างก็สงสัยเรื่องนี้ หลังเวลาสวดมนต์เย็น ทหารเอาศพทั้งสี่กลับไปที่ฐานทัพอเมริกัน วันต่อมาทหารพวกนั้นนำศพไปยังโรงพยาบาลมาห์มูดิยา และบอกว่าผู้ก่อการร้ายเป็นคนฆ่าครอบครัวนี้ เช้าวันนั้น ผมกับญาติผู้ตายพากันไปที่โรงพยาบาล เรารับศพกลับมาแล้วเราก็ฝังพวกเขา...ขอให้พระเจ้าโปรดเมตตาพวกเขาด้วย” <br>
<br>
<br>
<br>
“แล้วเราก็ตัดสินใจว่า เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบ เราจึงไปหานักรบมูจาฮีดีนเพื่อขอร้องให้พวกเขาช่วย เพื่อเอาคืนการกระทำครั้งนี้ พวกมูจาฮีดีนได้บุกโจมตีทหารฝ่ายยึดครองถึง 30 ครั้ง ภายในเวลา 2 วัน และนั่นทำให้ทหารอเมริกันต้องบาดเจ็บล้มตายไปกว่า 40 นาย” <br>
<br>
<br>
<br>
แต่ชาวบ้านไม่ได้แวะไปหาพวกมูจาฮีดีนเท่านั้น เขาเล่าต่อไปว่า ชาวบ้านได้พยายามไปขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์อัล-อาราบิยา และสื่อสิ่งพิมพ์บางราย แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ เจ้าหน้าที่สถานีโทรทัศน์อธิบายว่า นโยบายของเขาขึ้นอยู่กับเอกสารที่เป็นทางการ...ซึ่งก็หมายถึงเอกสารที่ออกโดยกองทัพอเมริกา พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงหรือเข้าไปทำข่าวเรื่องพวกนี้ได้ เพราะไม่มีอำนาจ <br>
<br>
<br>
<br>
“แต่นักรบฝ่ายต่อต้านบอกเราว่า พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้ชาวมุสลิมคนไหนต้องหลั่งเลือดอย่างสูญเปล่า พวกเขาบอกให้เราอดทนรอต่อไป แล้วเราจะได้เห็นการลงโทษ สำหรับเลือดทุกหยดของอาเบียร์และครอบครัว สำหรับเกียรติยศและศักดิ์ศรีของน้องสาวเราที่ถูกละเมิด มันจะเป็นการลงโทษชนิดที่ทำให้คนทั่วไปต้องขนลุก” <br>
<br>
<br>
<br>
หลังสื่อในซีกจิฮัดดิสต์เผยแพร่รายงานนี้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันจากเว็บไซต์ของจิฮัดดิสต์ขาใหญ่กลุ่มหนึ่งก็ตามมา เพื่อยืนยันว่า...การลงโทษที่ ‘ทำให้ขนลุก’ คืออะไร <br>
<br>
<br>
<br>
11 กรกฎาคม กลุ่มสภามูจาฮีดีนหรือ Mujahedeen Shura Council (1) ที่เคยอ้างความรับผิดชอบในเหตุการณ์บุกโจมตีจุดตรวจ ยูซิฟิยาห์ (Yusifiyah) วันที่ 16 มิถุนายน ซึ่งมีการจับทหารอเมริกา 2 นายไปทำทารุณกรรมและฆ่าตัดคอด้วยนั้น ได้ออกมาประกาศผ่านเว็บไซต์ว่า สิ่งที่ทำไปนี่แหละ คือการแก้แค้นให้กับ “น้องสาวของเราที่ถูกหยามเกียรติโดยทหารอเมริกันซึ่งสังกัดหน่วยเดียวกับทหาร 2 คนนี้” <br>
<br>
<br>
<br>
พร้อมกันนั้น เพื่อเป็นการยืนยันว่าพูดจริงทำจริง และเพื่อข่มขวัญศัตรู ทางกลุ่มยังได้นำวิดีโอคลิปภาพศพทหารสุดสยองมาเผยแพร่ให้เห็นกันจะๆ อีกด้วย <br>
<br>
<br>
<br>
นับเป็นการสยบความสงสัยของทุกฝ่าย เพราะก่อนหน้านี้ อเมริกันยังไม่ยอมรับความเกี่ยวข้องของ 2 กรณีดังกล่าว <br>
<br>
<br>
<br>
เหตุการณ์มาห์มูดิยาถูกตีพิมพ์เป็นข่าวครั้งแรกในวันที่ 30 มิถุนายน แน่นอนว่า...กลุ่มจิฮัดดิสต์ที่ทำการแก้แค้น (ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนี้หรือกลุ่มไหน) ย่อมจะต้องรู้เรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว คำประกาศบนเว็บไซต์ให้เหตุผลว่า...ก่อนหน้านี้ เหล่าจิฮัดดิสต์จำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ก็เพราะต้องการจะปฏิบัติการแก้แค้นอย่างเงียบๆ <br>
<br>
<br>
<br>
แต่เรื่องการแก้แค้นดังกล่าว ไม่ได้เป็นข่าวจากปากเพื่อนบ้านที่สะพัดอยู่ในสื่อซี้จิฮัดดิสต์เท่านั้น ก่อนหน้าคำประกาศของกลุ่มสภามูจาฮีดีน 2 วัน เรื่องพวกนี้ได้ไปปรากฏอยู่ในสื่อตะวันตกมาแล้วเช่นกัน ซันเดย์เทเลกราฟ ฉบับที่ 9 กรกฎาคม ได้ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ชาวเมืองมาห์มูดิยา ซึ่งมีเนื้อหา ‘รับลูก’ กันอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนี้ <br>
<br>
<br>
<br>
“เจ้าหน้าที่ของกองทัพอเมริกา ได้เริ่มการสืบสวนความเกี่ยวข้องของ 2 คดี (ยูซิฟิยาห์และมาห์มูดิยา) แล้ว แม้ตอนนี้ พวกเขาจะยืนยันว่า ความคิดที่ว่านี้เป็นเพียงการคาดเดาล้วนๆ อย่างไรก็ตาม ชาวเมืองมาห์มูดิยา ตอนใต้ของแบกแดดและใจกลาง ‘สามเหลี่ยมมรณะ’ ต่างก็พูดกันว่า ญาติของผู้ตายซึ่งเคยมีการติดต่ออยู่กับฝ่ายต่อต้าน ได้ขอร้องให้คนเหล่านั้นช่วยแก้แค้นให้ ชนิดที่เรียกว่า ‘เลือดล้างด้วยเลือด’……” <br>
<br>
<br>
<br>
“ซาบา ชูเกอร์ (Saba Shukr), 44, ชีคซุนนีที่มัสยิดอัล-อาซิส ในมาห์มูดิยา กล่าวว่า : เรารู้เรื่องอาชญากรรมนี้มาก่อนแล้ว และเราก็รู้ว่าพวกมูจาฮีดีนทำการแก้แค้นให้ตอนที่พวกเขาลักพาตัวทหาร 2 คนที่ยูซิฟิยาห์ไป พวกเขากำลังหาจังหวะที่จะลักพาตัวและฆ่าทหารอีกแปดคน เพราะความตายของเด็กผู้หญิงคนนี้มีราคาที่ต้องจ่ายเท่ากับความตายของทหารอเมริกัน 10 คน เราแน่ใจเรื่องนี้ มูจาฮีดีนสัญญาเอาไว้อย่างนั้น” <br>
<br>
<br>
<br>
“เพื่อนบ้านของครอบครัวนี้ที่ชื่อ อาบู ฮาเซ็ม (Abu Hazem), 51, บอกว่า : เราแวะไปหาญาติของผู้ตายที่อยู่ห่างออกไปครึ่งไมล์ เพื่อไปบอกข่าวกับเขา แต่เขาบอกเราว่า อย่าเอะอะไปนะ เรากำลังจะแก้แค้นทหารอเมริกันแบบเงียบๆ” <br>
<br>
<br>
<br>
“อิซซัท ฮูมาดี (Izzat Humadi), 29, คนขับแท็กซี่ในท้องถิ่น ให้สัมภาษณ์ว่า : ตอนที่เราเห็นพวกนั้นยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผู้หญิงของเรา มันทำให้เราเริ่มไม่สบายใจและคิดว่าวันหนึ่งเรื่องไม่ดีคงจะเกิดขึ้น แล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้ พวกมูจาฮีดีนจะทำการแก้แค้นให้พวกเราและเด็กคนนี้ต่อไป เรากำลังคอยให้เขาจับทหารอเมริกามาให้ได้อีกแปดคน” <br>
<br>
<br>
<br>
สรุปว่า อาชญากรรมที่ทหารอเมริกาทำกับอาเบียร์นั้น ชาวเมืองรู้มาก่อนหน้าแล้ว? สรุปว่า ยกเว้นความซื่อบื้อของทหารอเมริกา ชาวซุนนี (แม้แต่คนขับแท็กซี่) ต่างก็รู้ดีเรื่องการฆ่าตัดคอเพื่อล้างแค้น? <br>
<br>
<br>
<br>
ว่าแต่ทำไมต้องสิบ? ทำไมต้องเหลืออีกแปด? แม้แต่พาดหัวข่าวของเทเลกราฟยังอุตส่าห์ตอกย้ำคนอ่านในจุดนี้ว่า “ตายไปสอง และกำลังจะตามมาอีกแปด” ไม่มีคำอธิบายในเนื้อข่าวว่าตัวเลขนี้มาจากไหน หรือมันจะเป็นแค่ตัวเลขอันเลื่อนลอยของมูจาฮีดีน-ไม่มีที่มาที่ไป? <br>
<br>
<br>
<br>
ท่ามกลางข่าวสารหลายระลอกเกี่ยวกับคดีของอาเบียร์ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เดียวเท่านั้นที่เราจะพบกับ ‘อะไรสักอย่าง’ ที่เกี่ยวข้องกับเลข 10 นั่นก็คือ รายงานชิ้นเดิมของ ‘สามสหาย’ - Free Arab Voice และเครือข่ายนั่นแหละ <br>
<br>
<br>
<br>
มันอยู่ในช่วงแรกของรายงาน 3 ย่อหน้าติดกัน คำต่อคำ ดังต่อไปนี้ <br>
<br>
<br>
<br>
“บ่ายวันหนึ่ง ในเดือนมีนาคม 2006 ทหารอเมริกัน 10-15 คนบุกไปที่บ้านของ คาซิม ฮัมซา ราชิด อัล-จานาบี ผู้ซึ่งเกิดในปี 1970 และทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ รปภ. อยู่ที่โกดังเก็บมันฝรั่งที่รัฐเป็นเจ้าของ อัล-จานาบี อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นกับภรรยาของเขา ฟาครียา ทาฮา มูห์ซิน และลูกอีก 4 คน – อาเบียร์ (เกิด1991) ฮาเดล (1999) โมฮัมเหม็ด (1998) และอาห์เหม็ด (1996) <br>
<br>
<br>
<br>
“ทหารอเมริกันเข้าคุมตัวคาซิม ภรรยาของเขา และลูกสาวคนชื่อฮาเดล พาคนทั้งสามไปยังห้องๆ หนึ่งในบ้าน เด็กผู้ชายสองคนคือโมฮัมเหม็ดและอาห์เหม็ดยังอยู่ที่โรงเรียนตอนที่อเมริกันบุกเข้าไปในบ้านเวลาบ่าย 2 อเมริกันยิงคาซิม ภรรยาและลูกคนเล็กในห้องนั้น พวกเขายิงเข้าที่ศีรษะคาซิม 4 นัด ยิงเข้าที่ท้องน้อยและใต้ท้องน้อยของฟาครียาอีก 5 นัด ส่วนฮาเดลถูกยิงเข้าที่หัวและไหล่ <br>
<br>
<br>
<br>
“หลังจากนั้น อเมริกันพาอาเบียร์ไปที่ห้องถัดไป มันยืนล้อมเธอไว้ที่มุมหนึ่งของบ้าน มันถอดเสื้อผ้าเธอ และอเมริกัน 10 คนก็เวียนกันข่มขืนเธอทีละคน เสร็จแล้ว พวกนั้นก็ฟาดศรีษะเธอด้วยวัตถุมีคมชนิดหนึ่ง ตามรายงานทางนิติวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะเอาหมอนมาปิดจมูกจนเธอเสียชีวิต แล้วพวกนั้นก็จุดไฟเผาที่ร่างเธอตามมา” <br>
<br>
<br>
<br>
ความจริงในอิรักอาจจะเป็นสิ่งไม่มีตัวตน ความจริงในอิรักอาจจะจับต้องไม่ได้ตลอดไป และเรื่องเล่าทั้งหมดนี้ก็อาจจะเป็นแค่ ‘จินตนาการฟุ้งๆ เพียวร์ๆ’ ของสื่อที่อเมริกาไม่ชอบขี้หน้าก็ได้ <br>
<br>
<br>
<br>
แต่วันนี้ วินาทีนี้ ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ชมรมคนขี้สงสัยจะพากันตั้งคำถามกับเพนตากอนกันไม่หยุดหย่อน........ <br>
<br>
<br>
<br>
ข่าวระบุว่า สตีเฟน กรีน (ผู้ต้องหาคนแรก) ถูกปลดออกจากกองทัพตั้งแต่ ‘กลางเดือนพฤษภาคม’ คำถามที่ตามมามีว่า เขาถูกปลดด้วยข้อหาอันคลุมเครือที่ว่า ‘บกพร่องทางบุคลิกภาพ’ จริงหรือ? อเมริการู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? รู้จากคำสารภาพของทหารบางคนจริงหรือไม่? อาเบียร์ถูกข่มขืนด้วยทหารกี่คนกันแน่? แล้วทำไมทหารพวกนั้นต้องนำศพเธอกลับไปที่ฐานทัพ ไม่ส่งโรงพยาบาลตั้งแต่แรก? ปฏิบัติการครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงรู้เห็นด้วยหรือไม่? ปฏิบัติการที่อเมริกา (ใส่ชุดดำพรางตัว) ก่ออาชญากรรมแล้วโยนความผิดไปที่ฝ่ายต่อต้านหรือกลุ่มติดอาวุธถือเป็นกรณีปกติ และมี ‘มากกว่านี้’ หรือเปล่า? ฯลฯ <br>
<br>
<br>
<br>
ยังไม่มีคำตอบสำหรับคำถามคาใจพวกนี้ แต่สิ่งหนึ่งๆ ที่เรารู้แน่ๆ ก็คือ การข่มขืนผู้หญิงชาวอิรัก...ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นวันนี้ และไม่ได้มีแค่กรณีนี้ <br>
<br>
<br>
<br>
ข่มขืนผู้หญิงอิรัก? ขอโทษที...ไม่ได้มีแค่มาห์มูดิยา <br>
เพราะความจริงที่ว่า การข่มขืนคือ ‘ประเด็นต้องห้าม’ ในสังคมอิรัก ทำให้อาชญากรรมประภทนี้กลายเป็นเรื่องลึกลับ เหยื่อส่วนใหญ่ไม่กล้าพูดถึง ไม่กล้ารายงานหรือแจ้งความ ด้วยความกลัวต่างๆ กัน <br>
<br>
<br>
<br>
‘ตราบาป’ และการสร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล เป็นเรื่องที่ผู้หญิงอิรักต้องคิดหนัก ยิ่งในย่านชนบทที่ผู้คนหัวเก่ามากๆ ด้วยแล้ว ดีไม่ดี ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนอาจจะตกเป็นเหยื่อซ้ำสองของ ‘การฆ่าเพื่อปกป้องเกียรติยศ’ (honor killing) ตามมาอีก ซึ่งหมายถึงการถูกสมาชิกในบ้านที่เป็นชายลงมือสังหารเพื่อปกป้องเกียรติยศชื่อเสียงของครอบครัวตามธรรมเนียมเดิม <br>
<br>
<br>
<br>
และนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทั้งรายงานของ องค์การนิรโทษกรรมสากล (AI - Amnesty International) และ ฮิวแมนไรทส์วอทช์ (HWR – Human Rights Watch) ต่างก็เคยให้ข้อมูลและพูดถึงเรื่องการฆ่าประเภทนี้ (honor killing) ไว้ตรงกัน ยิ่งกว่านั้น ในกรณีที่เหยื่ออยากจะแจ้งความเอาเรื่อง ความพร้อมและวิธีการทำงานทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและโรงพยาบาล ก็ดูจะไม่เอื้อเฟื้อต่อการดำนินคดีอย่างมาก ยังไม่นับบทลงโทษที่ ‘บ้าๆ บอๆ’ อีกต่างหาก (อาทิ ข่มขืนแล้วยอมแต่ง ตำรวจไม่เอาผิด) <br>
<br>
<br>
<br>
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ท่ามกลางปัจจัยที่บั่นทอนการรายงานและการแจ้งความทุกชนิด กรณีทหารอเมริกันข่มขืนผู้หญิงอิรักก็ยังอุตส่าห์หลุดพ้นความมืด ‘โผล่มาให้เห็นแว้บๆ’ จนได้ แม้จะไม่เป็นข่าวใหญ่ <br>
<br>
<br>
<br>
ภายหลังการยึดครองของอเมริกา ผู้หญิงจำนวนหนึ่งถูกจับไปคุมขัง...อาจเพราะบังเอิญเป็นญาติพี่น้องกับบิ๊กๆ ในพรรคบาธ อาจเพราะถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับฝ่ายต่อต้าน หรืออาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็ได้ อเมริกันจะติดป้ายว่าเป็นนักโทษการเมืองหรือไม่ก็ตาม แต่โดยทั่วไป...ผู้ถูกคุมขังทั้งหญิงชายจะถูกกวาดจับไปขังตามอำเภอใจ ไม่มีความคุ้มครองทางกฎหมาย ไม่มีการตั้งข้อหาและปราศจากการขึ้นศาล <br>
<br>
<br>
<br>
นึกอยากจับก็จับ นึกอยากปล่อยก็ปล่อย มีไรป่าว?...ประมาณนั้น <br>
<br>
<br>
<br>
สำหรับคุกต่างๆ ทั่วประเทศ อเมริกากับรัฐอิรักจะแบ่งกันดูแล ยอดตัวเลขล่าสุดของผู้ถูกคุมขังในส่วนของคุกอเมริการวมชาย-หญิงมีประมาณ 14,000 คน ผู้ถูกคุมขังหญิงอาจจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ที่ผ่านมากว่า 3 ปี ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีผู้หญิงเคยถูกจับไปคุมขังเท่าไหร่ ถูกปล่อยออกมาเท่าไหร่ และยังอยู่ในนั้นจริงๆ เท่าไหร่ <br>
<br>
<br>
<br>
ในบรรดาผู้ที่ถูกปล่อยตัวมาแล้ว มีน้อยคนมากๆ ที่จะยินดีพูดคุยให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการถูกละเมิดทางเพศ โดยเฉพาะเรื่องข่มขืน ในรายงานชิ้นหนึ่งของ AI หลังความพยายามไล่ล่าหาข้อมูลจากอดีตผู้ถูกคุมขังจำนวนหนึ่ง พบว่า ไม่เพียงผู้หญิงเหล่านั้นจะต้องเจอเข้ากับการเฆี่ยนตี ทรมาน ขังเดี่ยว อดีตผู้ถูกคุมขังเหล่านี้ส่วนหนึ่ง ยังต้องเจอเข้ากับการสอบปากคำของกองทัพอเมริกาที่สั่งให้ผู้หญิง ‘ถอดเสื้อผ้า’ และพูดจาจาบจ้วงหยาบคายใส่ต่างๆ นานา ถึงขนาดที่บางคนเล่าว่า “ล่ามอิรักยังต้องหันหน้าหนีด้วยความละอายแทน” <br>
<br>
<br>
<br>
ศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแบกแดด ฮูดา เชคเกอร์ (Huda Shaker) เป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่ช่วย AI ทำวิจัยเก็บข้อมูลเรื่องนี้เมื่อปี 2004 ยืนยันว่าผู้หญิงที่ถูกคุมขังใน คุกอาบูกราอิบ มีทั้งกรณีข่มขืนจนตั้งท้องเกิดขึ้น และมีทั้งกรณีที่ถูกละเมิดทางเพศอื่นๆ <br>
<br>
<br>
<br>
“เพื่อนร่วมงานของฉันคนหนึ่งเคยถูกจับไปขังที่นั่น หลังจากที่ถูกปล่อยตัวออกมา พอฉันถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นที่อาบูกราอิบบ้าง...เธอก็เริ่มร้องไห้ทันที” เธอเล่าว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่อายและกลัว...เกินกว่าจะสารภาพเรื่องนี้ <br>
<br>
<br>
<br>
ก่อนอาบูกราอิบจะเป็นข่าวฉาวปลายเดือนเมษายน 2004 ธันวาคม 2003 นักโทษหญิงที่ถูกปล่อยตัวคนหนึ่ง รู้จักกันว่าชื่อ ‘นูร์’ (Noor) ได้ลักลอบนำ ‘จดหมายฉบับหนึ่ง’ ออกมาด้วย มีใจความชวนช็อคมากมายพอสรุปได้ว่า ผู้คุมชาวอเมริกันได้ข่มขืนผู้หญิงที่ถูกขังอยู่หลายคนในนั้น และผู้หญิงจำนวนหนึ่งกำลังตั้งท้อง ท้ายจดหมายขอร้องให้ฝ่ายต่อต้านบุกเข้ามาโจมตีและระเบิดคุกนี้ เพื่อช่วยให้พวกเธอหลุดพ้นจากเรื่องที่น่าอับอาย <br>
<br>
<br>
<br>
ทันทีที่รับรู้เรื่องราวในจดหมาย ตอนแรก ทนายของผู้หญิงที่ถูกคุมขัง ต่างก็ทำใจเชื่อได้ยากไปตามๆ กัน อย่างไรก็ตาม หลังจากทนายความคนหนึ่งที่ชื่อ อามาล คาดัม สวาดี (Amal Kadham Swadi) ได้ติดตามเรื่องนี้ต่อมาเรื่อยๆ (ก่อนหน้านี้...เธอได้พยายามหาทาง ‘เข้าถึงข้อมูล’ ในคุกอเมริกามาตลอด) สวาดีพบว่า มันไม่ได้เป็นจริงแค่ที่อาบูกราอิบเท่านั้น แต่มัน ‘กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศอิรัก’ <br>
<br>
<br>
<br>
หนังสือพิมพ์การ์เดียน ฉบับที่ 20 พฤษภาคม 2004 รายงานเรื่องนี้ไว้แบบเข้มๆ เนื้อๆ น่าสนใจ ดัง 3 ย่อหน้าต่อไปนี้ : <br>
<br>
<br>
<br>
พฤศจิกายนปีที่แล้ว สวาดีมีโอกาสไปเยี่ยมผู้ถูกคุมขังหญิงรายหนึ่งที่ ฐานทัพอเมริกา อัล-คาร์ก (al-Kharkh) ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ของสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในแบกแดดมาก่อน “เธอเป็นผู้หญิงรายเดียวที่ยอมคุยกับเรา เธอร้องไห้ และเล่าว่าเธอถูกข่มขืน” สวาดีเล่าต่อว่า “ทหารอเมริกาหลายคนข่มขืนเธอ เธอพยายามจะต่อสู้ขัดขืน แต่ถูกทำร้ายเข้าที่แขน เธอให้เราดูแผลที่ยังมีรอยเย็บอยู่เลย และบอกเราว่า - - พวกเธอมีลูกและมีสามีกันทั้งนั้น เพื่อเห็นแก่พระเจ้า อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง” <br>
<br>
<br>
<br>
และที่น่าตกใจก็คือ จากรายงานสืบสวนลับเรื่องคุกอาบูกราอิบของกองทัพอเมริกา นำทีมโดย พลตรี แอนโทนิโอ ทากูบา (Major General Antonio Taguba) ซึ่งเริ่มต้นเงียบๆ มาตั้งแต่ในเดือนมกราคม (เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘รายงานทากูบา’) ได้ยืนยันว่าจดหมายที่ผู้หญิงซึ่งรู้กันแค่ว่าชื่อ ‘นูร์’ ลักลอบนำออกมาจากคุกอาบูกราอิบนั้น มีเนื้อหาถูกต้องสอดคล้องกันทุกประการ และถูกต้องในทางเลวร้ายสะเทือนขวัญอีกต่างหาก ตั้งแต่เรื่องอื้อฉาวที่อาบูกราอิบเป็นข่าวมา 3 สัปดาห์ โฟกัสของเรื่องส่วนใหญ่อยู่ที่การละเมิดสิทธิผู้ถูกคุมขังชาย การทำอนาจารและการสร้างความอับอายทางเพศต่อหน้าทหารหญิง แต่ตอนนี้ มีข้อพิสูจน์ที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ว่า ผู้ถูกคุมขังหญิงก็ถูกละเมิดสิทธิด้วยเหมือนกัน ท่ามกลางผู้ที่ตกอยู่ภายใต้การคุมตัวของอเมริกาทั้งหมด 40,000 คน หลังจากการยึดครองอิรักปีที่แล้วเป็นต้นมา สัดส่วนเพศหญิงอาจจะเป็นกลุ่มน้อย แต่กลับไม่มีใครบอกได้ว่าจำนวนที่แท้จริงเป็นเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ในบรรดาหลักฐานรูปภาพ (ดิจิทัล) จำนวน 1,800 รูปที่ยึดได้ ตามรายงานของทากูบา ระบุว่า มีรูปของเจ้าหน้าที่กองทัพอเมริกากำลัง ‘มีเซ็กส์’ กับผู้หญิงอิรัก <br>
<br>
<br>
<br>
ทากูบายังได้ค้นพบว่า เจ้าหน้าที่หรือการ์ดที่อาบูกราอิบ ได้ถ่ายวิดีโอและภาพเปลือยของผู้ถูกคุมขังหญิงไว้ด้วย คณะผู้บริหารบุชได้ปฏิเสธที่จะนำภาพผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ถูกปืนจี้บังคับให้เปลือยหน้าอกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ (แม้ว่าเขาจะอนุญาตให้สภาคองเกรสได้ดูก็ตาม) ทั้งนี้ ด้วยข้ออ้างที่ว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารอเมริกาถูกโจมตีในอิรัก แต่จริงๆ แล้ว ผู้คนต่างก็สงสัยว่า น่าจะปกป้องอาการขายหน้ายับเยินของตัวเองในบ้านมากกว่า <br>
<br>
<br>
<br>
หลังเหตุการณ์อาบูกราอิบ ตลอด 2 ปีมานี้ นักเคลื่อนไหวและกลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนได้พยายามต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อให้เพนตากอนปล่อย ‘เอกสารที่เหลือ’ ออกมาเผยแพร่ทั้งหมด แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่สำเร็จ เพนตากอนยังคงหน่วงเหนี่ยวดื้อดึง-เก็บเอา ‘ความชั่วร้ายของอาบูกราอิบ’ ไว้เป็นความลับอยู่ส่วนหนึ่ง <br>
<br>
<br>
<br>
พฤษภาคม 2004 ระหว่างพานักข่าวชมคุกอาบูกราอิบด้วยความจำเป็น-สถานการณ์พาไป เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพอเมริกามากกว่าหนึ่งนาย ยอมรับกับนักข่าวว่า มีการข่มขืนผู้ถูกคุมขังหญิงเกิดขึ้นจริง (ในโซน 1 A) <br>
<br>
<br>
<br>
นักข่าวถามต่อว่าเรื่องแบบนี้...เกิดขึ้นได้ยังไง? พันเอก เดฟ ควอนท็อก (Colonel Dave Quantock) ซึ่งเพิ่งมารับหน้าที่ดูแลคุกตอนนั้น ตอบแบบไม่มีฟอร์มว่า “ผมก็ไม่รู้ มันเป็นเรื่องของภาวะผู้นำ การจัดการของผู้นำ ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่า ที่นี่...มันไม่มี” <br>
<br>
<br>
<br>
ญาติของผู้ถูกคุมขังซึ่งมารวมตัวชุมนุมกันภายนอก วันที่นักข่าวไปเยี่ยมดูคุก ต่างก็พูดถึงกรณีการล่วงละเมิดเพศหญิงเป็นเสียงเดียวกัน มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ ฮามิด อับดุล ฮุสเซน (Hamid Abdul Hussein) อายุ 40 มารอเจอน้องชาย (หรือพี่ชาย) ชื่อจาบาร์ ให้สัมภาษณ์นักข่าวการ์เดียนไว้ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นว่า พวกที่ถูกปล่อยตัวกลับบ้านที่เมืองมาห์มูดิยา (คนบ้านเดียวกับน้องอาเบียร์) หลายคนยืนยันว่าผู้หญิงในคุกถูกข่มขืน “เรารู้กันมาหลายเดือนแล้ว” เขาบอกต่อว่า “และเราก็ได้ยินมาว่า...ผู้หญิงบางคนฆ่าตัวตายด้วย” <br>
<br>
<br>
<br>
ในอีกด้านหนึ่ง ศาสตราจารย์ฮูดา เชคเกอร์ ก็ให้สัมภาษณ์ถึงชะตากรรมของสาวลึกลับชื่อ ‘นูร์’ ไว้ด้วยว่า <br>
<br>
<br>
<br>
“เราเชื่อว่าเธอถูกข่มขืน และเธอท้องกับการ์ดอเมริกันคนหนึ่ง หลังถูกปล่อยตัวจากอาบูกราอิบ ฉันไปหาเธอที่บ้าน เพื่อนบ้านบอกเราว่าครอบครัวนี้ย้ายไปแล้ว แต่ฉันเชื่อว่าเธอน่าจะถูกฆ่าตาย” <br>
<br>
<br>
<br>
(ธันวาคม 2004 มีรายงานถึงจดหมายที่หลุดมาจากอาบูกราอิบอีกหนึ่งฉบับ เป็นฉบับที่ร้อนระอุและเรตติ้งกระฉูดบนเว็บไซต์ เรียกกันว่า ‘จดหมายจากฟาติมา’ ถูกนำมาเผยแพร่โดยสำนักข่าวในเครือข่าย ‘สามสหายฯ’ นั่นเอง – อย่างไรก็ตาม กรณีหลังนี้ ไม่มีหลักฐานและการยืนยันจากแอคทิวิสต์หรือหน่วยงานอิสระใดๆ ที่แสดงว่าเชื่อถือได้ บทความนี้จึงขอข้ามไปไม่พูดถึง) <br>
<br>
<br>
<br>
พ้นไปจากกรณีอาบู กราอิบ ในปี 2005 ก็ยังคงมีข่าวเน่าๆ หื่นๆ ของอเมริกาตามมาอีก อาทิ 19 ตุลาคม องค์กรสิทธิมนุษยชนของอิรัก Freedom Voice รายงานว่ามีการข่มขืนผู้หญิงถึงสามคน ในละแวก ซาอัด บิน อาบี วัคคัส (Saad Bin Abi Waqqas) เมืองเทลอาฟาร์ <br>
<br>
<br>
<br>
หลังกองทัพอเมริกาบุกเข้าไปย่านนั้น ทหารได้จับพวกญาติพี่น้องที่เป็นผู้ชายไป แล้วข่มขืนผู้หญิงในบ้านของพวกเธอเอง แหล่งข่าวในเมืองที่เป็นพวกหมอหรือพยาบาลให้ข้อมูลว่า ผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิต จากเหตุการณ์นั้น ผู้บังคับบัญชาในกองทัพได้สั่งคุมตัวทหารจำนวนหนึ่ง แต่แล้วก็ไม่มีข่าวความคืบหน้าใดๆ อีก <br>
<br>
<br>
<br>
ในอิรัก กองทัพอเมริกามีสิทธิที่จะบุกเข้าไปค้นบ้านและจับกุมใครก็ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ โดยไม่มีต้องหมายศาลหรือหมายอะไรทั้งสิ้น นอกจากยกทีมไปในรถหุ้มเกราะ บางทีก็มีเฮลิคอปเตอร์ร่วมด้วย (ขนาดนั้นเลยเชียว) เวลายอดนิยมของกองทัพโหดหื่นพวกนี้ก็คือ ‘หลังเที่ยงคืน’ นักเขียนหญิงชาวอิรัก ไฮฟา ซันกานา (Haifa Zangana) เล่าให้ฟังว่า <br>
<br>
<br>
<br>
“ในบางพื้นที่ เดี๋ยวนี้ ผู้หญิงหันมาแต่งตัวเต็มยศเวลานอนกันแล้ว ใส่เผื่อเอาไว้...จะได้ไม่ถูกทหารอเมริกาบุกจับในชุดนอน” <br>
<br>
<br>
<br>
แต่เรื่องฉาวๆ แบบนี้ ว่ากันตรงๆ ไม่มีกั๊กแล้วล่ะก้อ...ไม่ได้มีแต่ผู้ร้ายชื่อกองทัพอเมริกาอย่างเดียว ในยุคที่บ้านเมืองเละเทะมาตลอด 3 ปี ในคุกอื่นๆ ที่เจ้าหน้าที่อิรักคุมเอง ทั้งคุกคาซิมิยา บาคูบาห์ และคุกของกระทรวงมหาดไทย ต่างก็มีข่าวคาวการข่มขืนหญิงสาวในคุกไม่น้อยหน้ากัน หรือแม้แต่นอกคุก บนท้องถนน ผู้หญิงอิรักทุกวันนี้ มีสิทธิถูกแก๊งติดอาวุธ (ไม่รู้ใครเป็นใคร) ลักพาตัวไปข่มขืนหรือส่งต่อเพื่อไปขายบริการยังต่างประเทศได้ตลอดเวลา สถานการณ์ที่ว่า...กำลังสาหัสขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในแบกแดด <br>
<br>
<br>
<br>
ก่อนหน้านี้ ภายใต้ยุคซัดดัม ฮุสเซน เอ็นจีโอท้องถิ่น Women's Rights Association ระบุว่า ทั่วประเทศอิรัก มีรายงานการข่มขืนปีละไม่ถึง 5 กรณี แต่เร็วๆ นี้ หลังจาก WRA ทำการศึกษาเก็บข้อมูล พบว่าตั้งแต่เดือน กพ.-มิย. 4 เดือน มีผู้หญิงเกือบ 60 รายในแบกแดดที่ถูกข่มขืน และอีกราวๆ 80 รายที่ถูกละเมิดทางเพศในรูปแบบอื่นๆ <br>
<br>
<br>
<br>
ไม่มีรายละเอียดว่าการเก็บข้อมูลมีวิธีการเจาะลึกอย่างไร มาตรฐานแค่ไหน หรือใครเป็นผู้ร้ายบ้าง แต่ท่ามกลางข้อจำกัดที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่แรก ตัวเลขจริงๆ และโศกนาฎกรรมจริงๆ ในสังคมอิรักวันนี้...คงไม่มีใครบอกได้ง่ายๆ <br>
<br>
<br>
<br>
ด้วยเหตุนี้ ‘อิรักภายใต้การยึดครอง’ จึงไม่เคยมีน้องอาเบียร์แค่คนเดียว จากแบกแดด ซามารา ถึงเทลอาฟาร์ ทุกหนแห่ง...ล้วนเต็มไปด้วยเสียงกระซิบและเสียงร้องไห้ของ ‘น้องอาเบียร์อีกมากมาย’ นับไม่ถ้วน <br>
<br>
<br>
<br>
คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ ‘คำสั่งที่ 17’ <br>
<br>
หลังเรื่องนี้เป็นกระแสร้อนแรงไปแล้ว 5 วัน นายกรัฐมนตรี นูรี อัล-มาลิกี ซึ่งอยู่ที่คูเวตตอนนั้น จึงได้ฤกษ์ปริปากให้สัมภาษณ์นักข่าวเป็นครั้งแรก นอกจากจะบอกกับประชาชนว่า...รัฐบาลจะเรียกร้องต่ออเมริกาให้มีคณะสืบสวนอิสระของอิรักแล้ว นายกฯ ยังกล่าว (เพื่อลดกระแส) ด้วยว่า <br>
<br>
<br>
<br>
“เราไม่ยอมรับการละเมิดเกียรติชาวอิรักอย่างที่ปรากฎในกรณีนี้ เราเชื่อว่า...ความคุ้มกันจากอำนาจศาล...ที่กองกำลังนานาชาติได้รับ เป็นสิ่งที่นำไปสู่การก่ออาชญากรรม เราจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ใหม่” <br>
<br>
<br>
<br>
ย้อนหลังไปในยุคแรกที่อเมริกายึดครองอิรัก ผู้บริหารของอเมริกาได้ออกกฎหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา และยังคงอยู่ยงคงกระพัน-ได้รับการต่ออายุมาจนถึงทุกวันนี้ กฎหมายดังกล่าวชื่อ ‘คำสั่งที่ 17’ (Coalition Provisional Authority - Order 17) และกฎหมายนี้เองที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมโหฬารและต่อเนื่องกว่า 3 ปีในอิรัก เพราะมันให้ความคุ้มกันหรือสิทธิคุ้มกัน (Immunity) แก่ทหาร ทหารรับจ้าง ผู้รับเหมาเอกชน ที่ปรึกษา และเจ้าหน้าที่พลเรือนทั้งหมดของอเมริกาและฝ่ายพันธมิตร ให้ปลอดพ้นจากอำนาจตุลาการในอิรัก และนั่นหมายถึง คนในหลักแสนพวกนี้สามารถทำความผิดอะไรก็ได้ ละเมิดสิทธิคนอิรักยังไงก็ได้ โดยที่กระบวนการยุติธรรมของคนอิรักไม่สามารถแตะต้องได้ <br>
<br>
<br>
<br>
พ้นไปจากความคุ้มกันจากอำนาจศาล กฎหมายนี้ยังเลยเถิดไปถึงความคุ้มกันอื่นๆ อาทิ คนของอเมริกา ตลอดจนพันธมิตรอเมริกาทั้งหมด ไม่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐบาลอิรัก หรือการยึดอาคารสถานที่และที่ดินในอิรักไปใช้เป็นฐานทัพ ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าอะไรทั้งสิ้น <br>
<br>
<br>
<br>
ตามปกติ การเข้าไปตั้งฐานทัพของอเมริกาในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จะมีการเจรจาต่อรองระหว่างอเมริกากับเจ้าบ้าน ว่าด้วยเรื่องสถาน

18 Jul 2007  |  Post by : porekub

Comment



Pooyingnaka Wellness

Webboard
โพสต์โดย: bloomingtulip 7
โพสต์โดย: Rujira56 0
โพสต์โดย: maewmiao 1
โพสต์โดย: belovely37 4
โพสต์โดย: SoGood 2
โพสต์โดย: 7-11 1
โพสต์โดย: BKKClinic 1
โพสต์โดย: mamelove 5

Interest Product