Talk About Women

การสะกดจิต
การสะกดจิต เป็นคำพูดที่มนุษย์เราได้ยินกันมานาน เป็นศิลปะที่น่าตื่นใจที่ถูกนำเอามาใช้ในโลกนี้ การสะกดจิตนั้นเริ่มต้นขึ้นที่อียิปต์และแพร่เข้าไปในกรีก จนกระทั่งยุโรป ซึ่งให้การต้อนรับวิชานี้อย่างอบอุ่น ระยะต่อมามีบุคคลที่สนใจได้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ <br>
<br>
เมื่อประมาณร้อยกว่าปีมานี้เอง เมสเมอร์ แพทย์ชาวเวียนนาได้กล่าวถึงการสะกดจิตว่า เกิดขึ้นจากอำนาจแม่เหล็กของผู้สะกดผ่านเข้าไปในร่างกายของผู้รับการสะกด ก่อให้เกิดปฏิกิริยา คือเกิดความเคลื่อนไหว และรักษาโรคภัยไข้เจ็บภายในร่างกายของผู้รับการสะกดได้ เมสเมอร์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก จนกระทั่งผู้คนในสมัยนั้นเรียกการสะกดจิตว่า &quot;เมสเมอริสม์&quot; ซึ่งหมายถึง ลัทธิของ เมสเมอร์ นั้นเอง <br>
<br>
สามสิบปีต่อมา เจมส์เบรด ได้ขนานนามวิธีการสะกดจิตว่า &quot;ฮิปโนติสม์&quot; เป็นคำมาจากภาษากรีก &quot;ฮิปนอส&quot; ซึ่งแปลว่าการทำให้หลับ <br>
<br>
สะกดจิตคืออะไร? <br>
สะกดจิต คือ ภาวะของจิตที่ถูกสะกดให้เคลิบเคลิ้มหรือลืมตัวคล้ายเข้าไปอยู่ในภวังค์ ผู้ถูกสะกดจะอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ง่วงซึม ผ่อนคลายความตึงเครียด สมาธิรับคำสั่งและตอบสนองออกไป <br>
<br>
<br>
การสะกดจิต มิใช่เป็นวิธีการที่เร้นลับ ไม่ใช่เรื่องของการแสดงของนักเล่นกล ไม่ใช่เป็นไสยศาสตร์ แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีกฎเกณฑ์ มีความจริง สามารถพิสูจน์และทดลองได้ <br>
<br>
ตามที่กล่าวมาแล้วว่า เมื่อผู้ได้รับการสะกดจิตแล้วจะเข้าไปสู่ภวังค์ ภวังค์นี้มีหลายระดับดังนี้ <br>
<br>
ภวังค์ที่อ่อนมาก ผู้ถูกสะกดจะคลายความตึงเครียดเท่านั้น ผู้ถูกสะกดจะบอกผู้สะกดว่ารู้ทุกอย่าง แต่แกล้งอยู่นิ่งๆ <br>
<br>
ภวังค์อย่างอ่อน เริ่มเข้าสู่ภวังค์มากขึ้น ผู้ถูกสะกดจะลืมตาไม่ขึ้น การหายใจจะช้าและลึก <br>
<br>
ภวังค์ปานกลาง ผู้รับการสะกดจิตจะปิดตาสนิท อาจถูกทำให้เกิดอาการชาเฉพาะที่ และยกแขนยกขาขึ้นได้ตามที่สั่ง ระยะนี้ผู้รับการสะกดยังจำอะไรต่ออะไรที่ผู้สะกดสั่งได้บ้างแต่เลือนลาง <br>
<br>
ภวังค์ชั้นลึก ผู้รับการสะกดจะลืมเหตุการณ์ทุกอย่างหมด กล้ามเนื้อจะแข็งเกร็งตามสั่ง อาจถูกทำให้ชาและนำไปผ่าตัดได้โดยไม่ต้องวางยาสลบ ภวังค์ชั้นนี้มีประโยชน์ในการรักษาโรคบางชนิดได้ <br>
<br>
<br>
วิธีการสะกดจิต <br>
วิธีการสะกดจิตมีอยู่หลายวิธี แล้วแต่ความถนัดและความพอใจของผู้สะกดว่าจะเลือกใช้วิธีใด ซึ่งพอจะสรุปได้โดยย่อ ดังนี้ <br>
<br>
การใช้เสียงพูดจูงใจโดยตรง เสียงที่พูดจะต้องเป็นเสียงอ่อนๆ มีเสียงประสาน และน้ำเสียงควรอยู่ในระดับเดียวกันตลอด เราจะเห็นว่าเสียงที่แม่กล่อมลูกมีความไพเราะประสานกัน ซ้ำไปซ้ำมา ช่วยให้เด็กเกิดความเคลิบเคลิ้มและหลับไป เสียงของนักสะกดจิตก็คล้ายคลึงกัน <br>
<br>
การใช้ยาบางชนิดฉีดเข้าไปในผู้รับการสะกด ก็มีผลทำให้สะกดจิตได้ แต่ไม่นิยมกัน เพราะควบคุมไม่ได้ และทำให้ตื่นในเวลาที่ต้องการไม่ได้ <br>
<br>
การให้ฟังเสียงบางอย่างที่ก่อให้เกิดความเคลิบเคลิ้ม เช่น ฟังเสียงของนาฬิกา เสียงดนตรี เป็นต้น <br>
<br>
การใช้วัตถุเคลื่อนไหวในระดับเดียวกับนัยน์ตาของผู้รับการสะกด อาจจะให้วัตถุเคลื่อนไปมาหรือเคลื่อนใกล้เข้ามาที่หน้าของผู้รับการสะกดทีละน้อยๆ พร้อมกับพูดจูงใจไปเรื่อยๆ ก็จะมีผลทำให้ผู้ป่วยตาลาย คลายความตึงเครียดและเข้าสู่ภวังค์ได้ <br>
<br>
เทคนิคในการสะกดจิต เสียงและน้ำเสียงเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสะกดจิต น้ำเสียงที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือที่เรียกว่า &quot;เสียงโมโนโทน&quot; จะเป็นสิ่งจูงใจได้อย่างดียิ่ง คำพูดที่ใช้ในการสะกดมีความสำคัญมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน การใช้คำพูดที่มีความหมาย การใช้ภาษาพูดที่สุภาพแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจในการสั่งซ้ำกันบ่อยๆ และกลมกลืนกันในบรรยากาศที่เงียบสงบ ก็จะทำให้การสะกดจิตดำเนินไปอย่างได้ผล

1 Feb 2008  |  Post by : SweetNokk

Comment



Pooyingnaka Wellness

Webboard
โพสต์โดย: sandaa 4
โพสต์โดย: PRKTC 0
โพสต์โดย: koymemory 4
โพสต์โดย: ฮันนี่ มีปัญหา 4
โพสต์โดย: kanoompang 5
โพสต์โดย: app 9
โพสต์โดย: theetima 11
โพสต์โดย: Girl_kz 2

Interest Product