Talk About Women

Last Note from Dr. Apiwat (very good reading for Workaholic)
จากนิตยสารรายเดือน จีเอ็ม ฉบับเดือน พฤษภาคม 2549 หน้า232-233 <br>
<br>
1)ตอนที่ผมไปเรียนต่อต่างประเทศ เราจะกลัวไปหมดทุกเรื่อง แต่คุณแม่เขียนจดหมายมาสอนผมว่า อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะถ้าเราไปตั้งท่ากลัวเสียก่อน มันก็จะไม่เกิดสติปัญญาที่จะไปแก้ไขปัญหา สู้เราทำตัวสบาย ๆ แล้วแก้ไขปัญหาไปตามธรรมชาติจะดีกว่า <br>
<br>
2)คนไทยเราเรียนปริญญาโทเพราะคิดว่าเรียน ๆ ไปเถอะ เราแยกเอาการเรียนรู้และชีวิตออกจากกัน เชื่อแต่ว่าพอจบการศึกษาแล้วค่อยใช้ชีวิต แต่ในต่างประเทศการเรียนรู้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง มันเป็นสิ่งที่เคียงคู่กับการใช้ชีวิต <br>
<br>
3)คุณพ่อ-คุณแม่ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีใครขโมยไปได้ การศึกษาเป็นทรัพย์สินที่ต่อเนื่อง คุณพ่อ-คุณแม่จึงพยายามทุกวิถีทางให้ผมมีการศึกษาที่ดี ยอมขายที่นาเพื่อให้สามารถส่งเสียผมไปเรียนได้ ทุกครั้งที่เห็นเด็กไม่สนใจการเรียน ผมจะรู้สึกเศร้าใจมาก ๆ หากมีโอกาสได้ทำบุญ ผมจะเลือกทำบุญกับโอกาสทางการศึกษาของเด็ก <br>
<br>
4)การที่คนเราจะมองหาจุดมุ่งหมายของชีวิตให้เจอ มันเกิดขึ้นต่างรูปแบบกัน ต้องถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากจะทำที่สุดในชีวิตกันแน่ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหาให้เจอ ไม่ช้าก็เร็ว เราจะได้มีพลังขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย <br>
<br>
5)ผมคร่ำเคร่งกับการเรียนเพราะเป็นสิ่งที่เราไปอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะทำมัน เราไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อท่องเที่ยว เราไปเพื่อศึกษา อย่าลืมว่าผมทำงานไปด้วย เพราะฉะนั้นผมไม่ได้พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง ในขณะเดียวกันผมก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเปิดหูเปิดตาไปท่องเที่ยว ผมคิดว่าชีวิตผมค่อนข้างจะรอบด้าน ได้ศึ่กษาทั้งวิชาการและทำงานแบบผู้ใช้แรงงาน <br>
<br>
6)มองย้อนหลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไง ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มุ่งหน้าหาเงิน เพราะว่าผมมีแผนการในชีวิตมากมายที่ต้องสร้างสมเอาไว้เพื่อครอบครัว มันไม่ถึงกับลืมใช้ชีวิตหรอก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากกว่า ที่สุดแล้วมันก็นำพาซึ่งความเจ็บป่วย ที่สุดแล้วผมก็หาเงินตามจุดมุ่งหมายได้ไม่มากเท่าที่ควร เราบอกว่าเราจะทำงานสัก 20 ปี แต่ว่าโอกาสของเรามีแค่ 10 ปี เพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก ร่างกายบอกว่ามันทำได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด้วยการที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน <br>
<br>
7)ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเลือกทั้งเงินและชีวิต เพราะว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต แต่ว่ามันไม่ใช่สรณะ ผมเลือกที่จะกระจายการทำงาน กระจายความทุ่มเทนั้นออกไป เพื่อให้สามารถทำงานได้นานมากขึ้น และตัวผมเองสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นาน ๆ <br>
<br>
8)ความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับผม มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่ผมอยู่กับตัวเอง <br>
<br>
9)ผมเคยเขียนการ์ดเล็ก ๆ ให้ภรรยา สรุปความได้ว่า เวลาที่คนสองคนเดินไปบนชายหาด ตอนที่เราหันกลับมามองก็จะเห็นเป็นรอยเท้าเล็ก ๆ 2 คู่ เดินไปเดินมา ทำไมเราจึงเห็นรอยเท้าเหลืออยู่แค่คู่เดียวล่ะ อีกคนหนึ่งหายไปไหนหรือ คำตอบคือไม่มีใครหายไปไหนหรอก แต่อีกคนกำลังอุ้มอีกคนหนึ่งเอาไว้ ผมหมายถึงตัวผมอุ้มเขาอยู่ เป็นคำมั่นสัญญาว่าผมจะดูแลเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ <br>
<br>
10)ครั้งหนึ่งที่ผมฟังดุริยมนตราซึ่งเป็นเสียงสวดมนต์ที่ประกอบไปกับดนตรี ผมฟังแล้วผมร้องไห้มาก แล้วบอกกับตัวเองว่าถ้าชีวิตผมจะหาไม่จริง ๆ ด้วยอาการเจ็บป่วยนี้ ผมอยากจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่า ผมได้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุด ไม่ใช่แค่เลี้ยงดูสั่งสอนให้แนวทางชีวิตในยามที่ผมปกติดีอยู่ แต่ในยามเจ็บป่วยคุณพ่อ-คุณแม่ไม่เคยห่าง มาหาผมที่โรงพยาบาลทุกวัน อยากให้ท่านได้รู้ว่าผมมีคุณพ่อ-คุณแม่ที่ผมไม่สามารถเรียกร้องหาได้ดีกว่านี้จากที่ไหน <br>
<br>
11)ในความเป็นพ่อ ผมให้คะแนนความพยายามมากกว่าผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าคะแนนความพยายามของผมที่ 80 มันไม่เต็มร้อยหรอกครับเพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ลูก ๆ มีแกนกลางคือเขามีแม่ที่ดี เพราะฉะนั้นลูก ๆ จะไม่เคยรู้สึกว่าขาดพ่อ เพราะว่าแม่ทดแทนได้หมด แม่ไม่ใช่เพียงแค่คนที่พยายามรักษาความสมดุลในครอบครัว แต่เขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในครอบครัวเรา นี่ไม่ใช่การถ่อมตน แต่เป็นการพูดในความรู้สึกที่แท้จริง เขาเป็นดวงใจของเราทุกคน ให้กลับกัน ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าผมทำได้ เพราะว่าผมอาจจะถนัดเรื่องจัดหามากกว่าการดูแล ใครอยากได้อะไรผมจะหามาให้ ขอแค่ให้รู้เถอะไม่ต้องเอ่ยปากหรอกผมจะไปหามาให้ <br>
<br>
12)ชีวิตผมไม่มีอะไรนอกจากบริษัท เจเอสแอลและครอบครัว ผมมีแค่นี้ ผมไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว <br>
<br>
13)การเป็นพ่อเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ต้องใช้อะไรเป็นพิเศษ ไปมากกว่าความรักทั้งหมด ผมเคยเซ็นหนังสือให้ลูกว่า ”สำหรับน้องเพชร ด้วยความรักทั้งหมดในหัวใจพ่อ” ถ้าคุณรักลูก คุณก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างกับเขา และตรงนี้ต่างหากที่เพิ่มเติมมาด้วยสติปัญญา พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน เรียนรู้ถึงความต้องการและความฝันของเขา แต่บางครั้งลูกก็ไม่ได้อยากอยู่กับเราเสมอไป เขาอาจจะมีธุระอื่น ฉะนั้นความรักและความเข้าใจจะต้องมาเป็นอันดับต้น เลย เราต้องพยายามหาหนทางละมุนละไมที่จะโอบแขนของเขาเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาให้ได้ <br>
<br>
14)ผมไม่ขอเปรียบเทียบชีวิตการเป็นพิธีกรของผมกับคนอื่น ๆ ตอนที่ทำรายการจันทร์กะพริบใหม่ ๆ ผมจบดอกเตอร์มา มันยิ่งสร้างความคาดหวังว่าจะทำอะไรดี ๆ ได้อีกเยอะ ต้องศึกษาหาความรู้เยอะ อ่านประวัติของแขกรับเชิญมาล่วงหน้าซึ่งจะทำให้เราไม่รู้สึกห่างไกลจากเขา รายการจันทร์กะพริบเป็นงานที่ยาก ผมใช้เวลากว่า ๒ ปีจึงจะหาตัวเองพบ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการเป็นพิธีกรมันคือการแสดง ในเมื่อมันคือการแสดง อะไรล่ะคือบุคลิกภาพจริง ๆของเรา เวลาที่เราขอคำแนะนำจากใคร 10 คน เราจะได้คำตอบ 10 อย่าง เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าที่สุดแล้วผมเชื่อตัวเองอีกว่า ผมไม่ใช่คนถามจาบจ้วงหรืออยากให้เฮฮากว่านี้ ผมว่าไม่ใช่ผม ผมเป็นคนที่ให้เกียรติคน เป็นคนที่มีบุคลิกพูดง่าย ๆ ว่านุ่มนิ่มบางทีมันเป็นจุดอ่อน แต่เราต้องพัฒนาให้เป็นจุดแข็งให้ได้ เอาความอ่อนโยนมาเป็นเสน่ห์ เอาความนุ่มนิ่มมาเป็นวิธีการถามคำถามทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้น <br>
<br>
15)ครั้งแรกที่ผมสัมภาษณ์ ทอดด์ ทองดี เขาบอกว่ายูรู้ไหม ว่าการที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเวที มันมีไออุ่นของคนที่อยู่ใกล้กัน เขาไม่รู้สึกอบอุ่นแบบนี้กับใครเท่าที่ยืนอยู่ใกล้ผม ผมมีความรู้สึกว่านั่นแหละคือการที่เราหาตัวเองเจอ ธรรมชาติของผมคือเป็นผู้ชายที่อบอุ่นนั่นเอง <br>
<br>
16)ทุกวันนี้ผมดูทีวีได้ไม่นาน เพราะว่าเสียงมันดังเกินไป รายการโทรทัศน์น่าจะมีความนุ่มนวลแล้วค่อยทะยานขึ้นไปถึงความตื่นเต้น แต่ทุกวันนี้มันมีแต่ความเปรี้ยงปร้าง อาจเป็นเพราะว่าการแข่งขันมันสูง พิธีกรต้องขุดมุกมาใช้เพื่อให้ได้ชื่อว่าสามารถสร้างเสียงฮาได้ตลอดเวลา ซึ่งผมคงสอบตกในกรณีนี้ แต่ผมเชื่อว่าความแพรวพราวมันมีได้หลายลักษณะ เช่นยิงคำถามแพรวพราวก็ได้ หรือบางทีเขาตอบอะไรมา เราอาจจะแสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เป็นความแพรวพราวตรงนี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีมุกตลอดเวลา <br>
<br>
17)การเป็นพิธีกรคือโอาสที่ได้เรียนรู้ชีวิตของคน ได้แบบเรียนชีวิตโดยไม่ต้องซื้อหามา เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีอะไรทดแทนได้ ผมเรียนรู้ชีวิตของชีวิตของผู้อื่น ผมได้ค้นพบว่าชีวิตไม่มีความแน่นอน เราต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและในยามที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราน่าจะได้ใช้โอกาสนั้นทำความดี เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไว้ในโลกนี้ มันเป็นมรดกของมนุษยชาติอย่างหนึ่งและคนอื่น อาจจะเรียนรู้ได้ในภายหลัง <br>
<br>
18)การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราทำให้ห้วงชีวิตเป็นอะไรก็ได้ เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่าหรือเราทำหนึ่งชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งชีวิตที่สร้างความทุกข์ใจให้กับใครสักคนหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้ ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร <br>
<br>
19)ผมไม่รู้ว่าจำนวนของคนที่เห็นแก่ตัวบนโลกนี้มีเท่าไหร่ แต่ผมว่าความเห็นแก่ตัวมันเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คนแหละ มันคือการชั่งน้ำหนักในสิ่งที่เราจะทำ จริง ๆ แล้วก็คงเหมือนกับที่เขาพูดกันว่า ไม่ต้องเป็นคนดีเท่าไหร่หรอก ขอแค่เป็นคนเลวน้อยที่สุดก็พอแล้ว <br>
<br>
20)ความกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ คนเราถ้าไม่รู้จักรู้พระคุณคน มันทำให้เราหลงลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ทุกวันได้เพราะอะไร คนที่เขาให้เรามาบางทีเขาไม่ได้จดจำเพราะมั่นเป็นการให้ที่แท้จริง แต่การที่เราได้รับนั้นหมายถึงการได้ส่วนบุญที่ดีมา มันเปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่เราควรจะจดจำว่าเรามาถึงฝั่งฝันนี้ได้อ่างไร มีใครบ้างที่ช่วยพยุงเรา ขณะ <br>
ที่เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมา การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่มนุษย์ประเสริฐเขาทำกัน <br>
<br>
21)คนที่เป็นผู้ให้ ในชีวิตผมมีมากและผมไม่มีวันที่จะลืมได้เลย ภรรยาผมเขาไม่เคยนึกถึงตัวเองเลย เขานึกถึงแต่ว่าทำอย่างไรสามีเขาจึงจะหาย ผมเรียนเรื่องธรรมชาติบำบัด ผมรู้สึกเอาเองว่าผมรับพลังดี ๆ จากธรรมชาติมาเยอะ เรียนรู้ที่จะรับพลังธรรมชาติจากต้นไม้ ใบหญ้า ผมรับรู้ถึงความปรารถนาดี ความหวังดีของคนจำนวนมาก คนเหล่านี้เป็นคนที่ผมไม่มีวันลืมไปจากชีวิตนี้ แล้วก็ขอเจอกันทุกชาติไป ผมคิดว่าถ้าผมจะหาย ก็ได้ด้วยพลังรักที่เขามีต่อผม <br>
<br>
22)ทุกวันนี้ผมมองทุกอย่างด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นความรู้สึกที่สุด ผมก็จะไม่ดีใจจนเกินเหตุ หรือถ้ามันจะทุกข์นัก ผมก็จะไม่ทุกข์มาก ผมจะอยู่ตรงกลางด้วยความหวังว่า วันของเราจะต้องมาถึง เราได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็นมะเร็ง ใจผมก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมบ้าง เมื่อไหร่ปฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับผมสักที ผมท้อแท้บ้าง แต่ผมไม่ยอมแพ้พ่าย ทำไมยังเจ็บปวด เศร้า ทุกขเวทนาอยู่เรื่อย แต่ผมปฏิเสธ ที่จะตายไปกับโรคนี้ <br>
<br>
23)ผมเสียใจอยู่ตลอดมาที่มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยเกินไป อยากบอกลูกว่า ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อคงอยู่บ้านให้มากกว่านี้

6 Sep 2006  |  Post by : PangRum

Comment



Pooyingnaka Wellness

Webboard
โพสต์โดย: Masterpiece Clinic 0
โพสต์โดย: kudamon 9
โพสต์โดย: thememory 6
โพสต์โดย: susie_nat 0
โพสต์โดย: คนอกหัก 14
โพสต์โดย: PrincessAngel 10
โพสต์โดย: marisa_ket 0
โพสต์โดย: tak8xx8 1

Interest Product