Talk About Women

สาระดีๆ...มารู้จักกับมันและวิธีป้องกันรักษามัน...."ภาวะซึมเศร้า"และ"โรคซึมเศร้า"
อ้อมดูข่าวดาราเกาหลีเป็นโรคซึมเศร้าจนถึงกับฆ่าตัวตายแล้วก็หดหู่ใจมากค่ะ ไม่อยากให้อะไรแบบนี้มันกิดขึ้นอีก...อ้อมเลยไปค้นข้อมูลเรื่องนี้มาฝากเพื่อนๆพี่ๆทุกคนค่ะ โลกมนุษย์เราเนี่ย...ยังหรรษา น่าอยู่อีกมากนะคะ เชื่ออ้อมเถอะ


"ภาวะซึมเศร้า" กับ "โรคซึมเศร้า" ดูๆก็คล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันมากค่ะ

ภาวะ "ซึมเศร้า" คืออาการที่เกิดได้กับทุกคนเป็นครั้งคราว เป็นปฏิกิริยาทางจิตใจต่อความกดดัน หรือความสูญเสีย ทั้งการเสียชีวิตของคู่แต่งงาน และภาวะซึมเศร้า คือคนในครอบครัว การย้ายที่อยู่ ย้ายที่ทำงาน จากสภาพอากาศ เช่น วันที่ฝนตก หรือฤดูหนาว จนทำให้รู้สึกหดหู่ และเกิดอาการซึมเศร้าตามมา ถือว่าเป็นเกิดจากปัจจัยภายนอกและมีผลดีต่อการพัฒนาศักยภาพส่วนตัวในการเผชิญอุปสรรคต่างๆ

แต่สำหรับโรคซึมเศร้า (major depressive disorder) นอกจากมีอาการข้างต้นแล้ว ต้องมีปัจจัยภายในอื่นๆร่วมด้วยคือ

1. *กรรมพันธุ์* เนื่องจากคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักมียีน(ที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า) เป็นส่วนประกอบ จึงพบผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าในครอบครัวเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันมีสถิติเป็นโรคซึมเศร้าสูงกว่าป­กติ

2. *ความบกพร่องของสารสื่อประสาท* (neurotransmitter) คือ สารโดพามีน
(dopamine) นอร์เอพีเนรีน(norepinephrine) สารซิโรโทนิน (serotonin)
ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือสารซิโรโทนินในสมองต่ำกว่าปกติ ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า เมื่อสารซิโรโทนินสูงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น หรือหายจากอาการซึมเศร้า
แต่ถ้าสมองหลั่งสารซิโรโทนินมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดอาการก้าวร้าวได้เช่นกัน

3. *เพศ* ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชาย 2 เท่า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในช่วงต่างๆ เช่น การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ การแท้ง ภาวะหลังคลอดและวัยทอง แต่ถ้าผู้ชายเป็นโรคซึมเศร้ามักฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง

4. *การกินยาในโรคบางชนิด*อาจทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โรคมะเร็ง และการกินอาหารที่ไม่ได้สัดส่วน ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงต้องแจ้งแพทย์ถึงยาที่กินประจำเมื่อรักษาด้วย


สัญญาณเตือนเมื่อโรคซึมเศร้ามาเยือน

เมื่อเป็นโรคซึมเศร้าจะทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน คือ
1. อารมณ์
- รู้สึกซึมเศร้า กังวล อยู่ตลอดเวลา
- หงุดหงิด ฉุนเฉียว โกรธง่าย
- อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย

2. ความคิด
- รู้สึกสิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย
- รู้สึกตนเองผิด ไร้ค่า ไม่มีทางเยียวยา
- อยากทำร้ายตนเอง หรืออยากฆ่าตัวตาย

3. การเรียนรู้หรือการทำงาน
- ไม่สนใจในสิ่งแวดล้อม หมดความสนุกและไม่มีความสุขในการทำงาน งานอดิเรก และกิจกรรมทางเพศ
- รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีพลัง ทำงานล่าช้าและแย่ลง
- ไม่มีสมาธิ ความจำเสื่อม การตัดสินใจแย่ลง

4. พฤติกรรม
- นอนไม่หลับ ตื่นเร็ว หรือหลับมากเกินไป
- เบื่ออาหาร หรือกินอาหารมากไป
- บางคนมีอาการปวดศีรษะ แน่นท้อง ปวดท้องเรื้อรัง ท้องผูก
- ความสัมพันธ์กับคนอื่นแย่ลง ไม่อยากเข้าสังคม


ข้อสังเกตสำคัญของโรคซึมเศร้า คือ...

มีอาการนานกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไปและผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่าตนเองว่ากำลังเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคิดแค่เรื่องเฉพาะหน้าว่าหดหู่ เบื่อ เซ็ง วิตกกังวล ตกอยู่ในวังวนความคิดตนเองเท่านั้น

คนใกล้ชิดจึงมีส่วนสำคัญในการกู้สถานการณ์ที่เลวร้ายของผู้ป่วยให้กลับมา
เมื่อเห็นญาติหรือเพื่อนมีพฤติกรรมแปลกไป อารมณ์เปลี่ยนแปลง นอนไม่หลับ
น้ำหนักลดหรือเพิ่มอย่างรวดเร็ว ไม่ค่อยพูดจาเหมือนเคย นานกว่า 2 สัปดาห์ ให้สงสัยว่าเขาอาจเป็นโรคซึมเศร้า ควรพาไปพบจิตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการอย่างละเอียด


โรคที่มีอาการใกล้เคียงกับโรคซึมเศร้า

1. *อารมณ์ซึมเศร้าจากการปรับตัว* เกิดจากไม่สามารถปรับตัว หรือยอมรับปัญหาที่มากระทบกระเทือนจิตใจได้ เช่น การเสียชีวิตของคนใกล้ชิด ตกงาน หรือเกษียน จนเกิดความเครียดและมีอาการซึมเศร้า แต่อาการไม่รุนแรง

ถ้ามีคนปลอบใจหรือพูดคุยจะดีขึ้น เมื่อปรับตัวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
อาการซึมเศร้าก็จะหายไป

2. *โรคอารมณ์แปรปรวน* (ฺbipolar disorder) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์
ที่แตกต่างกัน 2 แบบ คือ บางช่วงผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้า เบื่อหน่าย มองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบ อารมณ์อ่อนไหวง่าย หงุดหงิดและเก็บตัว บางช่วงผู้ป่วยจะมีอาการคึกคัก พูดมาก ขยันมาก เชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าปกติ ซึ่งระยะนี้เรียกว่า เมเนีย ทั้งนี้อาการระยะซึมเศร้าจะเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป

แต่อาการระยะเมเนียจะเกิดรวดเร็วและเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการรักษา

3. *โรควิตกกังวล* ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักวิตกกังวล ห่วงโน่นนี่ คล้ายอาการหลักของโรควิตกกังวล ต่างกันที่โรควิตกกังวล จะมีอาการหายใจไม่อิ่ม ใจสั่น สะดุ้ง ตกใจง่าย ร่วมด้วย ขณะที่โรคซึมเศร้าจะท้อแท้ เบื่อหน่ายชีวิต ร่วมกับอาการซึมเศร้าที่เด่นชัดกว่าอาการวิตกกังวล


สิ่งที่ควรและไม่ควรทำเมื่อเกิดภาวะซึมเศร้า


ในเวลาที่คุณซึมเศร้ามักท้อแท้ สิ้นหวัง แต่ความรู้สึกเหล่านี้จะลดลง เมื่อได้การรักษาอย่างถูกต้อง ในระหว่างนี้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก มีสิ่งที่คุณควรและไม่ควรทำ คือ

ไม่เอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ซับซ้อน

อย่าตั้งเป้าหมายที่สำเร็จยาก หรืออย่าแบกรับความรับผิดชอบมากๆ

พยายามย่อยงานใหญ่ให้เป็นชิ้นเล็กๆ และเลือกทำงานที่สำคัญก่อน และทำอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้

อย่าคาดหวังกับตนเองมากเกินไป เพราะหากเกิดความผิดพลาด คุณอาจผิดหวังยิ่งกว่าเดิม

ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ออกกำลังกาย วาดภาพ หรือดูหนัง ฟังเพลง แต่ไม่ควรทำอย่างหักโหม เพราะนอกจากไม่เกิดความสุขแล้วยังอาจทำให้เครียดเพิ่มขึ้น

อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจปัญหาใหญ่ๆ ในชีวิต เช่นลาออก เปลี่ยนงานใหม่ แต่งงาน หรือหย่า เพราะอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ พึงระลึกเสมอว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา

อย่าตั้งความหวังว่าจะหายอย่างรวดเร็ว พยายามช่วยตนเองให้มากที่สุด และไม่โทษหรือตำหนิตัวเอง ว่าที่ยังไม่หายเพราะไม่พยายามหรือยังทำได้ไม่ดีพอ


ป้องกันอาการซึมเศร้าด้วยตนเอง

หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า แต่ไม่นานเกิน 2 สัปดาห์ เป็นแบบเรื้อรังเป็นๆ หายๆ คุณอาจไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า
และสามารถบำบัดอาการซึมเศร้าด้วยตัวเองง่ายๆ โดย


1. *ออกกำลังกาย*เพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินออกมาคลายความเศร้าและความวิตกกังวล ด้วยการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที

2. *เสียงหัวเราะ* เมื่อรู้สึกตัวว่าเริ่มเศร้า ลองหันมาดูภาพยนตร์ตลก
หรือย้อนไปอ่านหนังสือการ์ตูนตลกบ้าง ก็ช่วยลดความเครียดได้ระดับหนึ่ง

3. *ระบายอารมณ์* บางครั้งอาการซึมเศร้ามักเกิดจากการเก็บกดอารมณ์ต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเก็บกดของ "อารมณ์เพศ"
การได้ระบายและผ่อนคลายอารมณ์เพศออกไปแบบสุดๆ จะด้วยลักษณะของการช่วยตัวเองหรือมีคนช่วยก็แล้วแต่ จะทำให้อารมณ์เก็บกดต่างๆได้ถูก"ผ่อนคลาย" ออกไป จะรู้สึกว่าโลกนี้ยังน่ารื่นรมณ์อยู่อีกมาก

4. *พูดระบายความในใจ* หาใครสักคนที่คุณไว้ใจเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟัง
การมีใครสักคนช่วยแบ่งปันความทุกข์ความสุข จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ชีวิตมีความหมายขึ้น

5. *เปลี่ยนเป็นคิดทางบวก* อาจเป็นสิ่งที่ทำยากสักนิด แต่จะมีอะไรดีไปกว่าการเปลี่ยนความคิดจากสิ่งที่เลวร้ายเป็นการมองแง่ดี

6. *นั่งสมาธิ* เมื่อจิตใจสงบ มีสมาธิ จะเกิดสติตามมา ทำให้สามารถคิดวิเคราะห์ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น หรือคุณอาจฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ เป็นจังหวะ ก็ช่วยให้ปลอดโปร่งและมีสติในการแก้ปัญหามากขึ้น


โรคซึมเศร้าไม่เหมือนไข้หวัดที่หายเองได้ เมื่อคิดว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคซึมเศร้า อย่าอายหรือกลัวที่จะไปพบจิตแพทย์ เพราะหากปล่อยไว้นานอาจสายเกินไป

ทางที่ดีคือสร้างสมดุลในชีวิตให้มาก อย่าตั้งความหวังสูง หรือกดดันตนเองเกินไป
เพราะเมื่อผิดหวังขึ้นมาคุณอาจทุกข์จนถึงขั้นซึมเศร้าก็ได้นะคะ




















12 Feb 2007  |  Post by : Rattiya69
Comment 1
แหม...

แต่จริงๆคนเป็นเยอะแต่ไม่รู้ตัวนะคะ ดูแลตัวเองดีๆ สู้กับตัวเองให้ได้เหมือนนก เอิ๊กๆ สู้โว้ย

12 Feb 2007  |  Comment by : SweetNokk

Comment


>

Pooyingnaka Quiz

Webboard
โพสต์โดย: BRANDCOM 1
โพสต์โดย: น้อยนิดมหาศาล 1
โพสต์โดย: nikee 0
โพสต์โดย: mammam 3
โพสต์โดย: Moya 1
โพสต์โดย: donlaya_maneeya 2
โพสต์โดย: Rattiya69 1
โพสต์โดย: okai 4

Interest Product