Talk About Women

ความรู้เรื่อง"มะเร็งปากมดลูก"..สาวๆควรอ่านครับ!
.... ้http://cafe.mediathai.net/manager2007 ....

มดลูกเป็นอวัยวะที่มีโพรง ตั้งอยู่ในบริเวณท้องน้อย ระหว่างกระเพาะปัสสาวะและทางเดินอุจจาระ ส่วนล่างสุดของมดลูกจะคอดแคบเรียกว่า ปากมดลูก ส่วนบนจะกว้างเรียกว่า ตัวมดลูก ตัวมดลูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น ชั้นในสุดของมดลูกเรียกว่า เยื่อบุมดลูก (Endometrium) ซึ่งในหญิงวัยเจริญพันธุ์ ชั้นนี้จะเปลี่ยนแปลงตลอดเดือนตามรอบประจำเดือนแต่ละเดือน เยื่อบุมดลูกจะโตและหนา เพื่อเตรียมรองรับไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว เลือดประจำเดือนเกิดขึ้นเนื่องจากเยื่อบุโพรงมดลูกในระยะนี้ไม่ได้ใช้ และจะสลายตัว ถูกขับออกมาทางช่องคลอด ชั้นนอกสุดของมดลูกเป็นชั้นกล้ามเนื้อ (Myometrium) จะขยายตัวตั้งครรภ์ เพื่อรองรับเด็กที่เจริญเติบโตขยายขนาดนี้ มะเร็งของมดลูกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชั้นเยื่อบุมดลูกจึงเรียกว่า มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ความหมายของคำต่าง ๆ
เนื้องอกมดลูก
ไม่ใช่มะเร็งมดลูก จะไม่มีการแพร่กระจาย ไปสู่อวัยวะอื่นในร่างกาย และน้อยมากที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต มีเนื้องอกหลายแบบที่เกิดขึ้นในตัวมดลูก บางรายไม่จำเป็นต้องรักษาเนื้องอกเหล่านี้ บางรายจำเป็นต้องผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก
Fibroid
เป็นเนื้องอกธรรมดาของมดลูกชนิดหนึ่ง พบบ่อย ในหญิงอายุเกิน 35 ปี อาจจะเป็น 1 ก้อนหรือหลายก้อนก็ได้ อาการผิดปกติของผู้ป่วย จะขึ้นกับขนาด และตำแหน่ง ของก้อนเนื้องอก เช่น มักจะมีเลือดออกผิดปกติ ตกขาวทางช่องคลอด หรือปัสสาวะบ่อย เมื่อก้อนเนื้องอกกดอวัยวะใกล้เคียงจะทำให้เกิดอาการปวด การรักษา คือ การผ่าตัด อย่างไรก็ตาม พบได้บ่อยมากที่ก้อนเนื้องอกนี้ไม่ทำให้เกิดอาการใด ๆ และไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ควรได้รับการตรวจบ่อย ๆ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลง และเมื่ออยู่ในภาวะหมดประจำเดือน ก้อนเนื้องอกนี้อาจจะฝ่อเล็กลง บางรายอาจจะหายไปได้
Endometriosis
คือ ภาวะที่มีเนื้อเยื่อลักษณะคล้ายและ แสดงอาการเหมือนเยื่อบุโพรงมดลูก แต่กลับไปอยู่ผิดที่ คือ แทนที่จะอยู่ในโพรงมดลูก แต่ไปอยู่ที่ตัวกล้ามเนื้อมดลูกแทน บางครั้งก็พบอยู่ที่ผิวของรังไข่ หรือส่วนต่าง ๆ ในช่องท้อง เนื้องอกชนิดนี้พบในวัย 30-40 ปี จะทำให้เกิดอาการปวดท้องมากขณะมีประจำเดือน และมีเลือดออกผิดปกติได้ บางครั้งทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก วิธีการรักษา มีทั้งการใช้ยาและการผ่าตัด
Hyperplasia
คือ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว เกิดจาก การเพิ่มจำนวนของเซลล์ปกติที่ บุโพรงมดลูก ถึงแม้ว่าภาวะนี้จะไม่ใช่มะเร็ง แต่จะเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้ในบางราย อาการส่วนใหญ่คือ ประจำเดือนออกมาก และมีเลือดออกระหว่างรอบระดู การรักษาขึ้นกับว่าเป็นมากหรือน้อย และขึ้นกับอายุของผู้ป่วย ถ้าอายุน้อยมักจะรักษาด้วยฮอร์โมน และตรวจเช็กเยื่อบุโพรงมดลูกสม่ำเสมอ ถ้าเกิดขึ้นภายในระยะใกล้ หรือหลังหมดประจำเดือน อาจจะรักษาด้วยฮอร์โมน ถ้าภาวะที่เกิดขึ้นไม่รุนแรง และจะใช้การผ่าตัดเอามดลูกออกเมื่อเยื่อบุมดลูกหนาตัวชนิดรุนแรง แต่จะทราบว่าเป็นเยื่อบุมดลูกหนาตัวแบบใดนั้น จำเป็นต้องขูดมดลูก เอาเยื่อบุที่อยู่ภายในโพรงมดลูกส่งตรวจทางพยาธิก่อน จึงจะให้การรักษาขั้นต่อไปได้
มะเร็งมดลูก
สามารถแพร่กระจายและทำลายอวัยวะใกล้ เคียงได้ มะเร็งของมดลูกมักจะแพร่กระจายทางกระแสโลหิตหรือระบบท่อน้ำเหลือง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่แพทย์จะต้องผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานออกไป เพื่อตรวจสอบว่ามีเซลล์มะเร็งแพร่กระจายหรือไม่



อาการของมะเร็งมดลูก
ที่พบบ่อยที่สุดคือ การมีเลือดออกผิดปกติหลังประจำเดือนหมดเลือดอาจออกเป็นน้ำ หรือมีเลือดปนตกขาวในระยะแรก ต่อมาจะเป็นเลือดมากขึ้นพบได้บ่อยหลังประจำเดือนหมด แต่อาจพบได้ในวัยใกล้ ๆ หมดประจำเดือนก็ได้ ดังนั้น การมีเลือดออกอีก ในหญิงวัยหมดประจำเดือนแล้ว จำเป็นต้องรีบไปรับการตรวจจากแพทย์เพื่อขูดมดลูก เลือดออกผิดปกติไม่ใช่อาการของมะเร็งเสมอไป แต่ถ้าเกิดขึ้นจำเป็นจะต้องมาปรึกษาแพทย์ เพื่อจะค้นหาสาเหตุของเลือดออก การวินิจฉัยได้แต่เนิ่น ๆ ว่าเป็นมะเร็ง มีความสำคัญมากต่อการรักษาให้หายขาด

การวินิจฉัย
จำเป็นต้องใช้การตรวจหลายแบบประกอบกัน สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือ การได้ผลชิ้นเนื้อจากโพรงมดลูก แนวทางการตรวจประกอบด้วย

การตรวจภายใน เพื่อดูขนาดและรูปร่างของมดลูก
Pap smear ปกติจะใช้ตรวจหามะเร็งปากมดลูก บางครั้งอาจ จะใช้วินิจฉัย มะเร็งเยื่อบุมดลูกได้ ถ้ามีเซลล์ผิดปกติหลุดลอกออกมาจากโพรงมดลูก
การขูดมดลูก เพื่อเอาชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่บุโพรงมดลูกออกมา ตรวจทางพยาธิ เมื่อพบว่ามีเซลล์มะเร็งแล้ว แพทย์จะต้องค้นหาว่า โรคได้ลุกลาม กระจายออกนอกมดลูกไปยังอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายหรือไม่ โดยใช้การตรวจสอบจากเลือด, X-ray บางรายมีการใช้ X-ray ชนิดพิเศษ เช่น C.T. หรือ CAT scan มักจะต้องใช้เครื่องUltrasound เพื่อตรวจดูอวัยวะภายในด้วย บางรายต้องมีการตรวจพิเศษทางกระเพาะปัสสาวะ ระบบลำไส้ส่วนล่าง และทวารหนัก



การรักษา
ผลการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดของเซลล์มะเร็ง อายุและสุขภาพทั่ว ๆ ไป ของคนไข้

วิธีการรักษา
โดยการผ่าตัด การใช้รังสีรักษา การใช้ฮอร์โมน และการใช้เคมีบำบัด
มะเร็งมดลูกระยะเริ่มแรก จะต้องรักษาโดยการผ่าตัดเอามดลูก และปากมดลูกออก พร้อมทั้งปีกมดลูกและรังไข่ทั้ง 2 ข้าง แพทย์บางท่านแนะนำให้ใช้รังสีรักษาก่อนการผ่าตัด เพื่อให้เซลล์มะเร็งหยุดชะงักการเจริญเติบโต แพทย์บางท่านต้องการตรวจสอบคนไข้ก่อนอย่างละเอียดขณะผ่าตัด และแนะนำให้ใช้รังสีรักษาหลังการผ่าตัด เฉพาะในรายที่มีโอกาสจะกลับเป็นซ้ำอีก การใช้รังสีรักษา มีทั้งการฉายแสงจากภายนอก และการฝังแร่ภายในร่างกาย ถ้าผู้ป่วยกลับเป็นซ้ำอีก หรือมีการแพร่กระจายภายหลังการใช้รังสีรักษา แพทย์ก็จะใช้ฮอร์โมน (กลุ่ม progesterone) หรือเคมีบำบัดเพื่อการรักษาต่อไป

ข้อแทรกซ้อนของการรักษา
เป็นการยากที่จะให้การรักษามีผลเฉพาะตัวเซลล์มะเร็งอย่างเดียว โดยที่เซลล์ปกติของร่างกายจะไม่ถูกกระทบกระเทือน ดังนั้น เนื้อเยื่อปกติของร่างกาย ก็จะถูกทำลายไปด้วย จากการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ดังกล่าว เช่น


การผ่าตัดเอามดลูกออก
ผู้ป่วยอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบทางเดินอาหาร เจ็บปวดบริเวณท้องน้อยที่ผ่าตัด ซึ่งเป็นระยะแรก ๆ หลังผ่าตัด ต่อไปก็จะกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ เมื่อไม่มีมดลูกก็จะไม่มีประจำเดือนอีกต่อไป และถ้ารังไข่ถูกตัดออกไปด้วย ผู้ป่วยก็จะมีอาการของคนหมดประจำเดือน เช่น อาการร้อน ๆ หนาว ๆ เหงื่อแตก ส่วนในด้านความต้องการและความสามารถทางเพศ โดยทั่วไปจะไม่เปลี่ยนแปลง
การใช้รังสีรักษา
จะทำลายการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์ ทั้งเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็ง แต่เซลล์ปกติจะกลับสู่สภาพเดิมได้เร็ว ขณะได้รับรังสีรักษาจะมีผื่นแดงบริเวณที่ได้รับรังสี บางคนมีอาการท้องเสียและปัสสาวะลำบาก บางคนมีอาการแห้ง คัน และแสบร้อน บริเวณช่องคลอด หรือรู้สึกเจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ จึงควรละเว้นขณะรักษา อาการทั้งหมดดังกล่าวนี้จะกลับสู่สภาพปกติได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ หลังจากเสร็จสิ้นการรักษา
การใช้ฮอร์โมน
เพื่อหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไปแล้วมักไม่ค่อยมีผลข้างเคียงต่อคนไข้
การใช้เคมีบำบัด
มีหลายชนิด คือ ชนิดรับประทาน ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำและฉีดเข้าทางหลอดเลือดแดง มักจะให้เป็นรอบ คือ มีระยะพักตัว และระยะให้ยาสลับกันไป ผู้ป่วยอาจจะต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อการใช้ยาเคมีบำบัด หรือมารักษาแบบผู้ป่วยนอกก็ได้ ขึ้นกับชนิดของยาที่แพทย์ใช้ ผลข้างเคียงขึ้นกับชนิดของยาและการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละคน โดยทั่วไปยาเคมีบำบัดจะมีผลต่อเซลล์ผม เซลล์สร้างเลือด และเซลล์ที่บุทางเดินอาหาร ทำให้เกิดผมร่วง เม็ดเลือดต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน เมื่ออยู่ในระยะพักตัวหรือเมื่อสิ้นสุดการรักษาแล้ว อาการต่าง ๆ เหล่านี้จะกลับคืนสู่ภาวะปกติ
หลังจากเสร็จสิ้นการรักษาแล้ว ผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปี เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งมดลูกอีก แพทย์จะต้องทำการตรวจภายใน X-ray ปอด และตรวจเลือด สำหรับผู้ป่วยที่มีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งมดลูกได้แก่ คนอ้วน มีบุตรยาก มีประจำเดือนเมื่ออายุน้อยและหมดประจำเดือนช้า เพราะโรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน estrogen พบว่าสตรีที่ได้รับยา estrogen เพื่อรักษาอาการของวัยหมดประจำเดือน จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูกนี้ 2-8 เท่า เทียบกับสตรีที่ไม่ได้รับ estrogen อัตราเสี่ยงนี้จะเพิ่มสูงขึ้นภายหลังใช้ estrogen 2-4 ปี และจะเพิ่มมากขึ้นถ้าใช้ยา estrogen ในขนาดสูงเป็นเวลานาน ๆ แต่สตรีที่ได้รับยา estrogen หลังจากได้ผ่าตัดมดลูกออกแล้ว จะไม่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูก แพทย์หลายท่านเชื่อว่า การใช้ยาทั้ง 2 ตัว คือ ฮอร์โมน estrogen และ porgestin เพื่อรักษาอาการของสตรีวัยหมดประจำเดือน จะลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูกได้ ดังนั้น สตรีที่ได้รับฮอร์โมนทุกคน จำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายสม่ำเสมอ และถ้ามีเลือดออกผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
...โดย : พญ.วิมลมาศ สุภาภรณ์

12 Sep 2007  |  Post by : Manager2007
Comment 1
มีอาไรไม่รู้ออกจากช่องคลอดเป็นสีขุ่นๆเหมือนกับสีโอวัลตินค่ะ มีเหลือดป่นนิดหนึ่ง ไม่เหนี่ยว ไม่มีกลิ่น เป็นอะไรหลอกค่ะอยากรู้มากเลยช่วยตอบทีนะค่ะ

12 Sep 2007  |  Comment by : อยากรู้

Comment



Pooyingnaka Quiz

Webboard
โพสต์โดย: sengship 1
โพสต์โดย: fernniegirl 0
โพสต์โดย: Momay 7
โพสต์โดย: jirative 5
โพสต์โดย: ทางตัน 7
โพสต์โดย: BABYBITCH 1
โพสต์โดย: Momay 4
โพสต์โดย: pairy_pairy 0

Interest Product