Talk About Women

ใช่ความรักหรือเปล่า...หรือแค่ความไม่จริงใจ
เพื่อนๆ เราอยากระบายความในใจมากเลยอ่ะ ช่วยเราคิดหน่อยสิ เรื่องมีอยู่ว่า เราพบรักกับชาวต่างชาติคนหนึ่ง เขาก้อดี นะนิสัยดี อายุประมาณ20 กว่าๆๆแต่ยังไม่ถึง 30 ปี เราคบกับเขามาประมาณเกือบ2ปี แล้วล่ะ เขาเคยมาหาเราที่เมืองไทยประมาณ6เดือน เพือ่มาเรียนภาษาไทย จุดเริ่มต้นเราเจอเขาที่อยุธยา และก้อเริ่มแชทกันทางเอ็มเอสเอท จนเกิดความรักขึ้นเขาเลยมาหาเรา เพราะเขาทนความคิดถึงไม่ไหว ปลายปีเขากลับไป และกลับมาช่วงสงกรานต์ อีกครั้ง เรา2คนก้ออยากอยู่ด้วยกันนะ แต่ในความรู้สึกเราเราอยากแต่งงานมากกว่า เราไม่อยากให้คนอืนมองเราว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี แบบว่ามีแฟนเป็นฝรั่งอ่ะ แต่เขาไม่ได้แก่นะ อืม เราก้อบอกเขาว่าเราอยากแต่งงานและไปอยู่กับเขาที่ประเทศเขา แต่เขาก้อไม่สามารถทำได้หรือไม่กล้าบอกพ่อแม่เขา เพียงเพราะพ่อแม่เขายังไม่เคยรู้จักเรามาก่อน ตอนแรก แฟนเราบอกให้เราลาออก เราลองไปทำความรู้จักครอบครัวเขา ประมาณ3เดือน แต่ทางบ้านเราเขาไม่ยอม ทางแม่เราบอกว่าจะปล่อยให้ไปอย่างนั้นได้ไง เราไม่ใช่ผู้หญิงไม่ดี เวลาเราคุยกับแฟนเราทีไรเรื่องแต่งงานจะได้รับคำตอบเดิมๆๆมาตลอดว่า ไม่ได้หรอก พ่อแม่เขาไม่เคยเห็นเรามาก่อน แต่งงานกันไม่ได้หรอก เราเศร้าและเราร้องไห้ทุกครั้งที่ได้ยินนะ อยากถามเพื่อนๆๆที่กำลังอ่านอยู่นี่ว่า เขารักเราหรือเปล่า นี่ก้อใกล้เวลาเขาจะมาอีกครั้งแล้ว เขาบอกคิดถึงอยากมาหาแต่ว่าไม่รู้จะลางานได้หรือเปล่า แล้วเราถามเขาเล่นๆๆว่า นี่ถ้ามาแล้วเมื่อไหร่มาอีกอ่ะ เขาบอกว่าปีใหม่ๆๆแล้วถ้าหลังจากปีใหม่เมื่อไหรมาอีกล่ะเขาบอกประมาณสงกรานต์ปีหน้า เราคิดในใจ ทำไมเขาไม่คิดอะไรที่ทำให้สามารถอยู่ด้วยกันได้ เรานึกในใจบางครั้งก้อร้องไห้ออกบ่อยว่าทำเหมือนเราเป็นเมียน้อยเลยอ่ะ นึกอยากจะมาหาก็มา แต่ไม่นึกถึงว่าคนอื่นจะมองเราว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี เพียงแค่เหตุผลๆเดียวว่าพ่อแม่เขาไม่เคนเห็นเรามาก่อน และเขาอยากให้เราลองไปทำความรู้จักและรู้จักกับเขา แต่ลองคิดในความเป็นจริงสิ ว่ามันไม่สามารถทำได้อย่างนั้น เราจะไปอยู่อย่างไรและถ้าพ่อแม่เขาไม่ชอบเรา เรามิต้องกลับมาเมืองไทยโดยที่ไม่ได้แต่งงานและก้อต้องหางานใหม่หรอ เศร้านะ เขียนเล่าไปก้อน้ำตาไหลไป ไม่รู้จะทำไงดีอ่ะ อยากให้เพือ่นๆๆช่วยบอกเราหน่อยนะว่าเราควรทำอย่างไร มีใครเคยเป็นเหมือนเรามั้ยอ่ะ ขอบคุณนะที่นั่งอ่านเรื่องของเรา

6 Aug 2009  |  Post by : yinglovely
Comment 4
ผลลัพย์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา มาจากพฤติกรรมของเรา
พฤติกรรมของเรา มาจากความรู้สึกของเรา
ความรู้สึกของเรา มาจากทัศนคติของเรา
ทัศนคติของเรา มาจากความเชื่อของเรา
ความเชื่อของเรา มาจากข้อมูลที่อยู่ในสมองของเรา
ข้อมูลที่อยู่ในสมองของเรา..ซะเป็นส่วนใหญ่!..มาจากสิ่งที่เราโปรแกรมเข้าไปเอง!

แล้วไอ้สิ่งที่เราโปรแกรมเข้าไปเอง มันก็คือ ไอ้เสียงข้างใน(Self-Talk)
ไอ้คำที่คุณพูดกับตัวเอง ที่คุณบอกตัวเองให้เข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้นั่นแหละ!

เคยได้ยินมั๊ย"แค่เราเปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยนไปแล้ว" หรืออีกประโยคที่คล้ายกัน
"แค่เราเปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็ง่าย"
แต่จะให้ง่ายให้ยาก
ให้ประสบความสำเร็จ ให้ล้มเหลว
้ให้งมงาย ให้ตาสว่าง
อยู่ที่คุณเองแล้วล่ะค่ะ

(คัดลอกและดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อ "คุณเปลี่ยนได้ เปลี่ยนชีวิตทันที แค่เปลี่ยนวิธีพูดกับตัวเอง
ของคุณ อมิตา อริยอัชฌา"
ขอขอบคุณเจ้าของผลงานมากมายที่ช่วยให้ฉันคิดได้มากขึ้น
และหวังเป็นอย่างสูงว่า จะช่วยคุณได้ด้วยเช่นกัน!)

ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเถอะค่ะ
"ถ้าเราดูแลปัจจุบันของเราได้ดี อนาคตจะดูแลตัวมันเอง"
ข้อความนี้ก็เอามาจากหนังสืออีกเหมือนกัน ชื่อ"หนังสือแกล้มขนม"

ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะคะ โลกนี้มีไว้ให้เหยียบนะ อย่าเอามาแบกไว้ล่ะ!

ป.ล. ถ้าข้องใจว่าตัวเองคิดมาก เป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า
ปรึกษาจิตแพทย์ด่วนค่ะ คนไปพบจิตแพทย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนบ้า
เราไปหา เพื่อทำความเข้าใจสมองของเราต่างหาก
และถ้าคนไหนที่พบจิตแพทย์แล้วมีการสั่งจ่ายยา
โปรดจงจำไว้เลยว่า เราเปล่ากินยาซะหน่อย เรากำลังเติมสารอาหารที่จำเป็นต่อสมองเราต่างหาก
ที่ฉันตอบแบบนี้ เพราะฉันสงสัยว่า คุณอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าแต่ไม่รู้ตัวก็ได้

สรุปสุดท้าย ที่มาตอบซะยาวขนาดเนี๊ย
ก็เพราะเป็นห่วงจริงๆนะคะ ^_^

17 Aug 2009  |  Comment by : Thi_Luck
Comment 3
เห็นใจนะคะ
วิธีที่คุณtonmaiแนะนำ ก็เป็นวิธีที่ดีเลยล่ะค่ะ!

วัฒนธรรมของเขากับของเรามันต่างกันอยู่แล้ว
ในความคิดฉัน ทัศนคติเกี่ยวกับ การแต่งงาน ไม่ตรงกัน
เขาก็มีเหตุผลของเขา ซึ่งจากที่ฉันอ่าน ฉันก็เข้าใจเขานะ มันก็จริงกับวัฒนธรรมของเขาแหละ!
เพราะบ้านเขาอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องปกติ บางคู่คบกันมาหลายปี ไม่เคยพาไปเจอพ่อเจอแม่กันเลยก็มี
แต่ครอบครัวฝรั่งเขาไม่มาก้าวก่ายเรื่องแฟนของลูกกันหรอกนะ
ไม่ค่อยเคยเห็น
เพื่อนที่เป็นฝรั่งของเรา พ่อแม่เขาก็ไม่ว่าอะไรเลย แม้ว่าจะไม่เคยเห็นแฟนลูกตัวเอง
หรือต่อให้เห็นก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเป็นเรื่องของลูก

สำหรับปัญหาความกังวลใจทั้งหมดของคุณ
ฉันขอนำข้อความที่ฉันอ่านมาจากหนังสือ"อัจฉริยะสร้างสุข" หน้า 57 มาฝากละกันนะคะ

"ปัญหาของจินตนาการมีข้อเดียว คือ เราไม่รู้ว่าจะหยุดใช้เขาเมื่อใด ชีวิตของมนุษย์ส่วนใหญ่จึงเหมือนตกอยู่ในคำสาป คือ ถูกจองจำอยู่ในโลกของจินตนาการอันน่ากลัว เช่น ฉันล้มละลาย ฉันจะโดนทิ้ง ฉันจะไม่มีเพื่อน

ฉันจะต้องรู้สึกไร้ค่าหากฉันสูญเสียสิ่งนี้ไป ฉันจะ ฉันจะ ฉันจะ......
ซึ่งเกินกว่าครึ่งของสิ่งที่เราจินตนาการไว้ จะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยในชีวิต

เหมือนที่ฮาร์ฟ เอ็คเคอร์ นักเขียนด้านการเงินเคยเขียนไว้น่าสนใจมากกว่า
"สมองของคุณ คือ นักเขียนบทละครน้ำเน่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มันสร้างเรื่องเหลือเชื่อมากมาย โดยวนเวียนอยู่กับเรื่องโศกเศร้าและหายนะเรื่องของสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นและไม่มีวันเกิดขึ้นเลย" "

จริงอยู่ที่การจิตนาการก็มีผลดี ตรงที่เราประเมิน หรือทำการเตรียมตัวตั้งรับอะไรเอาไว้
แล้วพอมันเกิดขึ้นจริง มันก็ลดความช๊อคลงได้ส่วนหนึ่ง

แต่ถ้ามันมากไป จนเป็นอุปสรรคกับชีวิตเรา
คุณมีความสุขเหรอคะ กับการจินตนาการเตรียมใจตั้งรับเรื่องเลวร้ายทั้งหลายของคุณนั้นน่ะ
ถ้าการจินตนาการล่วงหน้านั้นๆ มันดีกับชีวิตคุณจริง
ทำไมวันนี้ คุณพิมพ์กระทู้ไปร้องไห้ไปกับเรื่องที่ยังไม่ทันจะเกิดขึ้นเลยล่ะคะ

ถ้าฉันเป็นคุณ
ฉันก็อาจจะจินตนาการแบบเดียวกับคุณบ้างบางอย่าง
แต่ถ้าอะไรที่มันกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ ฉันก็จะเลี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้นค่ะ
คือพยายามไม่สร้างปัญหาเพิ่ม
ส่วนปัญหาเดิมที่มี ก็ค่อยๆคิดหาวิธีแก้ไปทีละปมๆ
ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ถ้าเราหาทางออกไม่เจอ เราก็ไปออกทางเข้า
(ฮามั๊ยอ่ะ!?! 555+ ^_^)

แล้วฉันก็คิดว่า เป็นฉันๆก็ทำอย่างที่คุณtonmaiแนะนำนะคะ
กลับขึ้นไปอ่านคำตอบของเขาอีกรอบ หรือจะหลายๆรอบก็ดีค่ะ
"เสียใจได้ แต่อย่าใจเสีย"ไงคะ!
หวังว่า อย่างน้อยๆ การตอบของทุกๆคนที่ตอบคุณคงจะช่วยให้คุณสบายใจขึ้นได้บ้าง
ใจเย็นขึ้นและมีสติในการพิจารณาเรื่องราวต่างๆได้ดีขึ้นนะคะ

ยังไงก็เอาใจช่วยละกันนะคะ

เดี๋ยวขออีกซักโพสต์นึงนะ ข้างล่างๆ
โฮ๊ะๆ ^______^

17 Aug 2009  |  Comment by : Thi_Luck
Comment 2
ให้พ่อแม่เขามาหาเราที่บ้านก่อนสิ http://www.wangnoiconveyor.blogspot.com

12 Aug 2009  |  Comment by : rassaya
Comment 1
..ถ้าอ่านข้อมูลที่คุณให้มาเพียงเท่านั้น มันก็คิดได้หลายอย่างนะครับ .. แต่จะให้ใครฟันธงให้ คงไม่เหมาะ
คิดได้หลายอย่างครับ ... เช่น เป็นเพราะเค้ายังเด็กในครอบครัวเค้า หน้าที่การงาน การเรียน ฐานะ .. ซึ่งที่บ้านเค้าอาจจะยังไม่แยกกันอยู่กับพ่อแม่ นั่นหมายถึง ยังมีเมียเอง ดูแลตัวเองไม่ได้ ที่ผมกล่าวถึงนี่ หมายถึง วัฒนธรรมฝรั่งนะครับ .. ครอบครัวของเค้า ก็ต้องให้ลูกพามาแนะนำตัวก่อน ดูกันไปสักพัก อยู่ก่อนแต่งนั่นเอง เพราะเค้ามีเซ็กซ์ฉันผัวเมีย อยู่กันได้ ค่อยว่ากัน บางคู่ลองอยู่กันเป็นปีก็เลิกกัน แต่ก็อยู่กินกันมาเป็นผัวเมียตั้งนานแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้แต่ง .. มันต่างกับบ้านเรานะครับ แล้วนี่ จะให้เค้าพาคุณไป พ่อ แม่คุณก็ต้องไม่ยอมอยู่แล้ว .. ถึงคุณสุดท้ายเค้าจะยกขันหมากมาขอจะแต่งงานที่นี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะอยู่ที่บ้านเค้าได้ และชินกับสังคมที่นั่น แต่นั่นก็เป็นเรื่องลำดับต่อไป ..
นึกออกไหมครับ .. จริงๆ มันก็เหมือนกับว่า ถ้ารักชาวต่างชาติ ระยะทางย่อมเป็นอุปสรรคเสมอ แต่มันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของคน 2 คน ..
ลองแบบนี้ได้ไหม .. ถ้าคุณรักกันจริงๆ คุณก็ให้เค้ามาอยู่บ้านคุณ อยู่ในสายตา พ่อแม่คุณดูสิครับ อย่าให้ น่าเกลียดเกินเลย จนพ่อ แม่ สังคมไทยว่าเอาก็แล้วกัน
ศึกษา ข้อมูล หาความจริง ฐานะเค้า บ้านเค้า อะไรก็ตามแต่ .. แล้วก็ชวนพ่อ แม่ เค้ามาเที่ยวบ้านเรา ถ้าเค้ารักเรา เค้าก็ชวนพ่อ แม่ มาดูตัวลูกสะใภ้ได้อยู่แล้วครับ .. ฝรั่งดีดี เค้าก็ทำกัน .. ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปดูตัวว่าที่ลูกสาวหน่อย .. ถือว่าได้ไปเที่ยวด้วย ชอบก็ให้แม่มาขอ .. คุคุ
ทำใจให้เข้มแข็งครับ .. คุณอ่อนไหวมาก เสียใจได้ แต่อย่าใจเสีย อย่ารีบร้อน จงมองโลกในแง่ดี อย่าหลงอะไรง่ายๆ จะทุกข์หนักภายหลัง
ถ้าเป็นเนื้อคู่กัน ไม่แคล้วหรอกครับ .. ผู้ชายที่รักเราจริง เค้าต่างหากที่ต้องดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อเรา เพื่อให้ได้อยู่กับเรา
และคนที่เสียเปรียบเสมอ ก็คือ ผู้หญิง ( เฮ้อ .. เศร้า เพราะผมก็เป็นผู้ชาย ) ..
ค่อยๆคิดนะครับ ใจเย็นๆ ใช้ธรรมนำหน้า อย่า หลงติดอยู่กับ รัก หลง ให้มากเกินไป มันทุกข์ มันมืดบอด ..
ตั้งสติ พ่อ แม่ เรา สำคัญกว่ามาก .. สู้ๆ นะ

7 Aug 2009  |  Comment by : tonmai

Comment


>

Pooyingnaka Wellness

Webboard
โพสต์โดย: DaneyMyers 2
โพสต์โดย: loveladypr 0
โพสต์โดย: PR BMAC 0
โพสต์โดย: balltuk 1
โพสต์โดย: Rattiya69 1
โพสต์โดย: pk400 0
โพสต์โดย: PRKTC 0
โพสต์โดย: applena 1

Interest Product