Talk About Women

เมื่อคำว่ารักให้ความหมายว่าทุกข์...
คำปรารภ...จุดประกาย

“ ลองเขียนประสบการณ์ สองข้างทาง สระบุรี – เกาะเสม็ด มาซิ เผื่อจะเป็นแนวทางให้คนอื่นที่กำลังเผชิญกับความรู้สึก เจ็บปวด...เหมือนที่ครั้งหนึ่งเราเคยผ่านมา...และก้าวข้ามความเจ็บปวดนั้นมาแล้ว”

แรงบันดาลใจ...สร้างคำตอบรับ

คำพูดจากพี่คนที่ยืนเป็นหลักให้ฉันเกาะพยุงชีวิตในยามที่ความรักกำลังสอนฉันอีกหนึ่งความหมายของมัน…ให้ฉันได้เรียนรู้...คือ รักแล้วทุกข์ และผิดหวัง…ฉันผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว…ในวันนี้…ช่วงเวลาที่ฉันเรียกว่า...ตายแต่ยังหายใจ...ฉันตอบ ตกลงทันทีในวันนั้น...แต่ก็ผัดผ่อนกับตัวเองจนเวลาล่วงมาเกือบเดือน
จนถึงวันนี้...วันที่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยบรรยากาศของความรักอบอวลไปทั่ว ใช่แล้วใกล้ถึงแล้วซินะ วาเลนไทน์ ฉันรำพึงกับตัวเองในใจ...ดอกไม้ ของขวัญสีชมพู วางขายให้เห็นดารดาษ...วันนี้ฉันมองมันด้วยความรู้สึกเฉยๆ...ไม่ได้ยินดี หรือยินร้ายในสิ่งที่เห็น...เป็นกลางๆ...แล้วบอกกับตัวเองว่า...ดีใจเหลือเกินที่สู้พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นได้ก่อนจะถึงวาเลนไทน์ ไม่งั้นคงไม่พ้นที่จะปวดแปลบในใจเป็นแน่
สำหรับคนที่ความรักให้ความหมายว่า…สุข...ในใจคุณ…ฉันยินดีด้วยใจจริงคุณโชคดีมาก ขอให้คุณมีความสุขกับของขวัญแสนหวานที่คุณได้รับจากคนรักในวันนี้...แต่แล้วคนที่...ความรักกำลังให้ความหมายอีกด้านหนึ่งของมัน…ให้เขาได้ประสบอยู่ล่ะ ใช่แล้วมันกำลังยื่น…คำว่าทุกข์ให้ทั้งที่เราไม่อยากรับ แต่ก็หนีไม่พ้น
วันวาเลนไทน์ ของขวัญของคนผิดหวังคืออะไร...คนที่กำลังมองโลกทั้งใบเป็นสียิ่งกว่าสีดำแต่มันเป็นสีมืดและมันไม่มืดธรรมดามันมืดไปถึงในข้างในของใจ (อย่าสงสัยเลยถ้าคุณไม่เคยอกหัก คุณคงไม่รู้ว่าสีมืดเป็นอย่างไร) สำหรับคนที่ความรักกำลังเล่นตลกทำร้ายคุณอยู่ สิ่งที่ฉันจะเขียนต่อไปนี้ ฉันไม่ได้หวังจะเป็นแสงอาทิตย์สาดส่องไล่ความมืดมิดในใจคุณไปได้ ฉันหวังแค่ว่ามันจะเป็น แสงหิ่งห้อย ที่ช่วยบรรเทาความมัว มืดมน ให้เป็นแสงสว่างในใจคุณได้แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี อย่างน้อยถ้าคุณเดินตามแสงของหิ่งห้อยไป คุณอาจจะเจอทางออกสู่แสงสว่างอันสดใสได้...ถ้าเพียงแต่คุณจะไม่ยินดีขังตัวเองไว้ในกรงความทุกข์ โดยไม่คิดที่จะช่วยตัวเองออกมา
สิ่งที่ฉันอยากจะบอก คือ การอกหัก(ผิดหวังในรัก) มันไม่ทำให้ใครตาย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคงเหลือประชากรบนโลกใบนี้ ไม่เกิน 0.5 เปอร์เซ็นของประชากรทั้งหมด (หรือคุณจะเถียงล่ะ) และคุณอาจจะเห็นด้วยอย่างยิ่งเมื่อคุณอ่านเรื่องราวของฉันจนจบ

จุดเริ่ม...ความปวดร้าว

ถ้าจะมีใครสักคนมาให้ฉันสะกดคำว่า...อกหัก ...แล้วทำให้ฉันรู้รสชาติความเจ็บปวดของมัน จะต้องไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ ความทะนงตน (โง่ๆ) ของคน(โง่ๆ) อย่างฉัน ผู้หญิงหน้าตาธรรมดา บ้านๆ แต่ดันเชื่อมั่นในความมีเสน่ห์ของตัวเองแบบเต็ม 100 % + 1 ที่พอถึงตอนนี้ฉันอยากหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองที่กล้าคิดได้ในตอนนั้น
เขาคนนั้น..คือคนที่ได้รับเกียรติ จากกรรมเวรที่ฉันเคยก่อมา ให้มีอำนาจยื่นคำว่า...ทุกข์สาหัส ให้ฉันเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม...เขาเป็นคนที่ฉันสามารถพูดคำเลี่ยนแสนเลี่ยน...ที่มันเคยหวานแสนหวานในวันเก่าๆ… ว่าเขาเป็นคนที่ทำให้ฉันรู้ว่ารักจริงเป็นอย่างไร และความรู้สึกฉัน (ตอนนั้น) มันก็เชื่อว่าตัวเองรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
3 ปีเต็มที่เราคบหากันในฐานะคนรัก ที่เดินทางสายเดียวเคียงคู่กัน ความใกล้ชิดผูกพัน การแสดงออกการปฏิบัติต่อกันของเรา สร้างความมั่นใจในตอนนั้นว่า เราจะเดินบนทางเส้นเดียวกันไปชั่วชีวิต ฉันเชื่ออย่างนั้นตลอดมา มั่นใจเกินมั่นใจว่า
ทั้งชีวิตเขามีแต่ฉัน และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป
แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาเยือนโดยไม่มีการนัดหมายบอกกล่าวล่วงหน้า…มันมาสาดสีแห่งความมืด ทับความสว่างสดใสที่เคยมีโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งรับ หรือเตรียมใจไว้ล่วงหน้า เพราะว่าเขาเป็นคนดี ถึงตอนนี้ฉันก็ยังเชื่ออย่างนั้นเพียงแต่ด้วยหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ทำให้เขาเปิดสู่สังคมใหม่ที่กว้างขึ้น และเขาก็ติดกับดัก ความยั่วยุ ของสิ่งที่ยั่วยวนเหล่านั้น เขาเดินเข้าไปใกล้มันทุกขณะ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเดินห่างจากฉันทีละก้าว ๆ โดยฉันไม่รู้ตัว...เพราะคำว่าเชื่อใจ แล้ววันที่ความจริงมันออกมาทำหน้าที่ของมัน ปลุกฉันให้ตื่นจากภาพลวงตาที่เขาสร้าง และฉันก็พร้อมที่จะเชื่อตลอดเวลาเสียด้วย
ลองเอาตัวคุณมาแทนฉัน ตอนรับสายโทรศัพท์จากเขา ที่โทรมาเพื่อบอกว่า ระหว่าเราสองคนขอให้เว้นระยะห่างจากกันและกันไว้ เขายังรักฉัน แต่เขาไม่สามารถทำหน้าที่ของแฟน หรือคนรักได้ดีพอในตอนนี้ อย่าเสียใจเลยนะ ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ใช่ของกันและกันสักวันก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม (ช่างเป็นคำบอกเลิกที่เนียน และเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด)
ฉัน ณ ตอนนั้นไม่สามารถแม้แต่จะพูดอะไรออกมาแม้เพียงคำๆเดียว คำว่าไม่จริงๆๆ ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ ทำไม และทำไม ดังอยู่ในหัวใจ ช๊อคจนเกินกว่าจะมีแรงขยับปากพูดออกไป…ฉันกดวางสายลง แล้วนิ่งอยู่นับชั่วโมง เหมือนคนที่ดับความรับรู้ทุกอย่างไปทั้งหมด ก็คำที่ฉันควรได้ยินจากเขาเมื่อสักครู่นี้ มันควรเป็นประโยคว่า …สุขสันต์วันเกิดนะคนดีไม่ใช่หรือ...โลกเล่นตลกอะไรกับฉัน
และนับจากวันนั้นเป็นเวลากว่า 25 วันเต็ม ที่ฉันทำอะไรโง่ๆ ทั้งที่รู้ว่ามันโง่แสนโง่ (อาจเป็นเพราะความหลงบังใจ) คือพยายามเฝ้าวิงวอนให้เขากลับมา อ้อนวอน ขอร้อง เอาศักดิ์ศรีของตัวเองไปยื่นให้เขาทำลายอย่างน่าเวทนา 25 วันเต็มที่ฉันเฝ้าแต่โทรหาเขา เพื่อร้องไห้ฟูมฟาย คร่ำครวญ จนน้ำตาแทบจะหลั่งเป็นสายเลือด ที่แม่ให้ฉันมาเพื่อสร้างชีวิตให้ฉัน (เพื่อให้เขากลับมา)
จากวันนั้น 37 กิโลระยะทางจากบ้านถึงที่ทำงาน และ 37 กิโลจากที่ทำงานกลับมาบ้าน ฉันเอาแต่ร้องไห้ ตลอดเวลา ที่ขับรถ และทำสิ่งไร้สติที่สุดคือ การส่งข้อความนับสิบหน้า ไปหาเขาทั้งที่ขับรถอยู่ (ถ้าฉันตายในตอนนั้นเพราะการกระทำบ้าๆของตัวเอง ที่ขับรถไปพิมพ์ข้อความไป...ร้องไห้ไป...ฉันคงจะขอไม่ไปผุดเกิด และจะพาวิญญาณเวียนไปกราบเท้า พ่อแม่ และครูอาจารย์ที่สั่งสอนฉันมา เพื่อขอโทษท่านทั้งหมดที่ท่านได้ให้ความรัก ความรู้ และสติปัญญากับฉัน แต่ฉันกับสนองคุณท่านด้วยการไม่ใช้มัน
แล้วฉันผ่านเวลานั้นมาได้อย่างไร 25 วันที่ทำตัวเป็นคนตายที่สามารถทำได้แค่ ร้องไห้ได้เท่านั้น ลองเปิดใจคุณแล้วคิดตามฉันมา ฉันไม่ขอเรียกว่าวิธีแก้ปัญหา แต่จะชี้ให้เห็นแนวทาง สิ่งแรกที่ฉันใช้เรียกสติกลับมาคือ คนสองคนที่รักฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข ข้อแม้ ความรักความหวังดีของท่านไม่เคยทำให้ฉันเสียใจ ใช่แล้วนั่นคือ…พ่อและแม่…ในเวลาที่ฉันทุกข์ และทำตัวเหมือนคนที่ชีวิตแตกดับลงไปแล้ว…ทั้งที่พ่อกับแม่เป็นผู้สร้างและประคับประคอง ทะนุถนอม เลี้ยงดูฉันตลอดมา…ฉันรู้ว่าพ่อกับแม่เจ็บกว่าฉัน 100 เท่า 1000 เท่า ถึงท่านไม่ถาม ไม่มีคำปลอบโยน แต่ฉันก็ไม่กล้าที่จะสบตา 2 คู่ ที่มองฉันอยู่ เพราะฉันรู้ว่าจะเห็นความทุกข์ ความห่วงใย ที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจของท่านทั้ง 2… ช่วงทุกข์ของฉันๆไม่เคยเห็นรอยยิ้ม จากพ่อและแม่ ฉันรู้ว่าแค่ฉันเดินเข้าไปกอด และร้องไห้ซบบนไหล่ บนตักของท่านๆก็พร้อมที่จะโอบกอดฉันไว้ โดยไม่มีคำพูดคำถามอะไรที่จะทำให้ฉันเกิดความปวดแปลบ ปะทุขึ้นในใจฉันซ้ำอย่างแน่นอน...แม่พยายามเก็บของทุกชิ้นที่มันจะบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นอดีตของเขาและฉัน (ทั้งที่บางชิ้นมันก็ไม่ใช่ 5555) ไปให้พ้นตาลูก...พ่อจะเปลี่ยนช่องรายการสุดโปรดทันทีที่ฉันอยู่ในรัศมีของการได้ยิน กิจกรรมฟังเพลงก่อนนอนจากรายการวิทยุที่พ่อจะเปิดไว้ทั้งคืน ก็พลันเหมือนผู้จัดรายการลาป่วยปิดสถานีไปซะเฉยๆ ทุกอย่างแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย…แต่คุณคิดเหมือนฉันไหมว่า...พ่อและแม่ของฉันจะทำเพื่อให้ทุกข์ของลูกลดน้อยและหมดไปในที่สุด...เท่าที่ท่านจะทำได้ แล้วประโยชน์อะไรเล่าที่จะเกิดขึ้นจากการที่ฉัน ปล่อยตัวให้จมปรักอยู่กับความผิดหวังอยู่อีก
...แต่ยังหรอก ยังมีบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่เป็นกำลังใจสำคัญให้ฉันพ้นจากพิษรักที่ไร้ยาใดๆรักษา...โง่แล้วยังโง่อีก...ประโยคที่พี่คนหนึ่ง...คนที่ฉันโทรหาทุกครั้งที่...รู้สึกปวดแปลบใจขึ้นมา...และเขาก็พยายามทุกวิธีทางมาช่วยฉันให้หลุดพ้นไปได้ซะทีจากความทรมาน...พี่หนูเจ็บปวดจัง...ฉันจะพูดคำนี้เป็นคำแรกเสมอที่โทรหาพี่เขา...แต่สิ่งนึงที่พี่เขาไม่ทำก็คือการปลอบประโลมฉัน...แต่จะตั้งคำถามแล้วให้ฉันหาคำตอบ...ที่มันเป็นคำตอบที่ต้องออกมาจากใจของฉันจริงๆ...ว่าสิ่งที่ต้องการ...คืออะไร...แล้วหากว่าได้เขากลับมาแล้วยอมรับได้ไหม...ถ้าเหตุการณ์เจ็บปวดที่ผ่านเกิดขึ้นอีกกับฉัน...รับได้ไหมหากว่าต้องเจ็บปวดอยู่ในฐานะคนรักคนแรก..แต่ถูกเก็บไว้เผื่อเลือก...หลายคำถามหาคำตอบอีกมากมายที่ไม่ใช่คำปลอบประโลม โดยเฉพาะประโยคที่ว่า... โง่แล้วยังโง่อีก แล้วก็ยังโง่อีก...แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกดีกว่าคำปลอบประโลมเป็นไหนๆ...และหลายครั้งที่ฉันเงียบไป...เขาจะ โทรหา...ด้วยประโยคขึ้นต้นที่ให้ความหมายได้ว่า...รู้ว่ากำลังเจ็บก็เลยโทรมา...
ใช่แล้วในยามที่มันเคว้งคว้าง...แค่ใครสักคนที่จะแนะวิธี จะพูดๆๆๆๆสิ่งที่เป็นสาระ...จนเราลืมความเศร้า ความตรอมใจในช่วงนั้นไปได้...ฉันไม่เคยโทรหาเพื่อนไม่ว่าจะสนิทแค่ไหน...ถ้าโทรก็นับครั้งได้ เพราะฉันรู้ว่าสภาพไร้วิญญาณของฉัน ในตอนนั้นคนที่น่าเวทนาที่สุด...คงไม่มีใครปรารถนาไปแตะให้ใจร้าวๆมันสลายลงไปต่อหน้า ฉันรู้ว่าฉันจะได้ยินคำว่าใจเย็น ๆ อย่าคิดมาก เดี๋ยวเขาก็กลับมา ปล่อยไปสักพัก เดี๋ยวเรื่องราวก็ดีขึ้น...ลองทำอย่างนี้สิ...อย่างนั้นสิ...คำพูดประมาณนี้จากคนรอบข้าง...แต่ในใจฉันไม่ต้องการยื้อคนที่เรารู้ดีว่าเขาหมดรักเราแล้ว นับแต่วันที่เขายื่นความปวดร้าวมาให้ (แต่จะทำอย่างไรล่ะ) ฉันจึงเลือกโทรหาผู้ชายธรรมดาๆคนนึง แต่กลับมีแนวคิดวิถีทางมากมายให้ฉันเลือก พร้อมทั้งพยายามจุดเทียนไขแห่งปัญญาให้ฉัน ทีละเล่ม...ด้วยคำพูดที่ทำให้ฉันได้เข้าใจและเห็นโลกไปตามความเป็นจริง...จากบทความธรรมะหัวข้อที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ขอยกเพียงบางตอนที่ทำให้ฉันได้สะดุด และทำให้ใจฉันสว่างขึ้นได้ทันทีที่อ่านจบ...ถ้าต้องเป็นทุกข์เพราะความผูกพันกับสิ่งใด ก็อย่าผูกพันหน่วงเหนี่ยวสิ่งนั้นไว้เลย มีประโยชน์อะไรกับการร้องไห้ คร่ำครวญหรือตรอมใจกับความผิดหวังพลั้งพลาด ปล่อยให้มันผ่านไป เรื่องไม่ดีที่ไม่น่าปรารถนานั้น แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่โลกนี้ มานานแล้ว ทุกคนที่เกิดมาในโลกก็ล้วนแต่จะต้องประสบกับมันทั้งนั้น สิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น จงจำไว้ว่า ชีวิตของคนเรานั้นล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น คนเก่ง ย่อมไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค มันเพียงแต่เข้ามาทดลองกำลังใจเราเท่านั้น ขอให้ตระหนักไว้เสมอว่า ในสิ่งที่เรารู้สึกว่าเลวร้ายนั้น ยังมีสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นอีก แต่เรายังไม่ได้พบ และในสิ่งที่เรารู้สึกว่าดี ก็ยังมีสิ่งที่ดีกว่าแต่เราก็ยังไม่ได้พบเช่นเดียวกัน หนังสือดีๆเพื่อให้เทียนในใจฉันถูกจุดให้สว่างขึ้น แม้เทียนบางเล่มจะดับไปบ้างก็ไม่เป็นไร ฉันอาจะโชคดีที่มีพี่ชายคนนี้คอยคอยพยุงไว้จากอาการโซซัดโซเซ จากความผิดหวังของความรัก
แต่สำหรับคุณที่ความต้องการของคุณคือลืม ไม่ใช่วิธียื้อคืน ขอแนะนำว่าให้คุณระบุวัตถุประสงค์ไปเลย...ว่าไม่ต้องการคำปลอบโยนใดๆ ต้องการหลุดพ้นทุกข์เสียทีเท่านั้น เพราะคุณไม่รู้ตัวหรอกคุณน่าสงสารแค่ไหน (อันนี้จากการที่ฉันได้เห็นตัวเองชัดขึ้นถึงได้เข้าใจคำนี้และพูดมันออกมาได้) ไม่มีใครอยากจะฆ่าคุณให้ตายซ้ำจากคำแนะนำที่ดีๆที่คุณฟังแต่ไม่ยอมรับหรอก...ธรรมะเป็นวิธีหนึ่งที่พี่ชายคนนี้แนะนำ...แต่ฉันก็โอหังพอที่จะตอบไป ณ ตอนนั้นว่า...หนูเข้าใจว่าธรรมะปฏิบัติจะเป็นทางแก้ที่ดีที่สุด...ของคนที่มีความทุกข์...หรือไม่มีความทุกข์ก็ตาม แต่ทว่า 99 คนใน 100 คน 1 คนที่หายไปดันเป็นฉันที่รู้ตัวเองดีว่าตั้งแต่เล็กจนโตการนั่งสมาธิเป็นสิ่งที่ฉันพยายามมาโดยตลอดไม่เคยสำเร็จ...แต่สำหรับคุณฉันแนะนำว่าธรรมะจะช่วยคุณได้จริงๆ ฉันเชื่อว่าคุณคือ 1 ใน 99 คนที่ทำได้อย่างแน่นอน...
นอกจากพี่ชายคนนี้ยังมีน้องชายที่ร่วมงานอีกคนที่ค่อนข้างสนิทกับฉัน ที่ช่วยผลักให้หลุดจากทุกข์อีกแรงหนึ่งด้วยดี ทำไมต้องผู้ชาย สงสัยใช่ไหม...ก็ผู้ชายย่อมรู้จักนิสัยของผู้ชายได้ดีกว่า เขาจะรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ความจริงคืออะไร และเขาจะให้ความจริงกับคุณได้...แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชายถ้าผิดหวังจากความรักลองปรึกษาผู้หญิงดูซิ...รับลอง ช่วยได้ (แต่ขอย้ำว่า เพื่อน โดยบริสุทธิ์ใจเท่านั้นนะเพราะนอกนี้คุณอาจเสียใจซ้ำสองก็เป็นได้) เขาจะรับสายทุกครั้ง โทรกลับมาทุกครั้งที่ไม่ได้รับสาย แล้วจะให้คำตอบกับคำถามว่า ทำไม...ทำไม...และทำไม...ของฉันให้ตาสว่างขึ้น...และในหลายๆครั้งที่กำลังร้องไห้...เขาคนนี้ก็จะเดินเข้ามาเพื่อบอกสั้นๆว่า อย่าร้อง ร้องทำไม บางทีคำบางคำแค่นี้แหละ ที่ทำให้ใครหลายๆคนที่ผิดหวังจากความรักอยากฟัง...ไม่ใช่คำปลอบใจยาว สี่หน้ากระดาษ แต่ยิ่งฟังยิ่งเจ็บ...ต่อมาคือฉันไม่ฟังเพลงเลยไม่ว่าจากสื่อไหน ฉันยืนยันเลยว่า อกหักแล้วฟังเพลงเศร้า (แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีแต่เพลงเศร้ารักผิดหวังเยอะเสียด้วย) ...กี่เพลงกี่เพลง คุณจะทรมานหัวใจชนิด 100 X 100 เพราะจะทำให้คุณสมุติตัวเองว่าเป็นพระเอก นางเอก ในมิวสิค...รางวัลที่คุณจะได้รับคือความสะเทือนใจแบบสุดๆเชียวแหละ นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่ฉันยินดีโปรโมทแบบไม่เก็บค่าโฆษณา อ่านแล้วหัวใจนิ่งลงเยอะ ชื่อว่า ถึงวันนี้ขาดเขาหัวใจเราก็ยังเต้นอยู่ พูดได้คำเดียวว่าโดนเพราะมันเขียนขึ้นโดยคนอกหักจริงๆ ที่ก้าวข้ามความเจ็บปวดนั้นมาได้ ที่เขียนให้คนอกหักอ่านคุณคิดว่ามันจะโดนไหมล่ะถึงตอนนี้แผลใจก็หายสนิทไป 70 % แล้ว
5 วันสุดท้ายของช่วงเจ็บปวดทุกข์ทรมานในความรัก ฉันเริ่มหยุดอาการทุรนทุราย ฟูมฟายลงไปได้เกือบหมด แต่ก็ยัง โทรหาเขาอยู่ดี (คนที่ทำให้เจ็บ) เพียงแต่น้อยลง ฉันเริ่มถามตัวเองว่าฉันจะปิดเรื่องราวที่เหลือค้างคาอยู่ในใจอีก 30 % อย่างไรดี ธรรมะปฏิบัติก็ไม่ได้ทำ (เพราะทำไม่ได้) บทความธรรมะจากพี่ชายก็แล้ว ความหวังดีจากน้องชายก็แล้ว...หลังจากได้ฟังคำจากพี่ชายว่า... ถึงเวลาที่เราต้องช่วยตนเองด้วยตัวเองจากสิ่งดีๆที่ได้รับจากความห่วงใย...เสียที...เพราะหากวันนี้เรายืนด้วยตัวเองไม่ได้...ถ้าหากว่าวันนึงเราต้องสูญเสียมากกว่านี้ล่ะ...ขาดพ่อแม่ไป...ขาดคนที่คอยพยุงแล้วเราจะอยู่อย่างไร..และฉันก็คิดได้วิธี ที่ฉันมองข้ามไป ทั้งที่ตัวเองเคยใช้อยู่บ่อยๆยามที่สับสนกับอะไรต่างๆในชีวิต คือขับรถไปเรื่อยๆ แล้วหาที่สงบ (และปลอดภัย) นั่งเฉยๆ บางครั้งก็คิด และบางครั้งก็ไม่คิดอะไรเลย สบายใจก็กลับ...ฉันจึงบอกกับตัวเองว่าต้องไปที่ไหนสักที่ แต่ยังไม่รู้ว่าที่ไหน...กับการเดินทางเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง...และก็รู้ว่าบางทีคำตอบก็อาจจะไม่จบในคำถามกับการเดินทางครั้งนี้...
31 ธันวาคม ฉันโทรหาเขาครั้งสุดท้าย (คนที่ทำให้เจ็บ) เพื่อจะตอกย้ำความมั่นใจ ว่ามันไม่อาจกลับมาเหมือนเคยได้ อีกแล้ว ทั้งที่ฉันก็รู้ดีในคำตอบ (อาจเป็นอีกบทหนึ่งที่ฉันได้พิสูจน์ตัวเองว่าฉันเข้มแข็งขึ้น) ฉันวางสายหลังจากจบคำถามประโยคเดียว...แล้วไม่มีคำตอบนอกจากแสดงความรำคาญโดยคำพูด ฉันไม่กล่าวคำลาใดๆ (เพราะพูดไปหลายสิบครั้งแต่ทำไม่ได้) ปิดโทรศัพท์ หักซิมทิ้ง (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเอาเสียเลย) คว้ากระเป๋า แล้วตัดสินใจว่าจะเดินทางไป ระยอง 30 % ที่ฉันต้องการหาคำตอบกับการเดินทาง...ตลอดทาง สระบุรี – ระยอง (เสม็ด)...ฉันคิด...และพยายามไม่คิด...วกวนตลอดการเดินทาง
กับการเดินทางไปสู่เกาะ...ถึงที่พักอาบน้ำออกมานั่งรอเวลาคืนข้ามปี...(ที่บอกกับตัวองว่าเราต้องก้าวข้ามพ้นแห่งปีไป ให้ได้อย่างไม่มีความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่) คนอื่นเขาสังสรรค์...แต่ฉันนั่งมองทะเล...แล้วก็คิด...คิดแล้วก็เจ็บ...พยายามเลิกคิด...แต่ก็ยังคิดอยู่ตลอดเวลา 00.00 พลุสว่างไสว ชุดแรกถูกจุดขึ้นทั่วทั้งเกาะ และตามมาด้วยพลุๆ พลุ พลุ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ติดต่อกันจนนับไม่ถ้วน เป็นเวลากว่า 10 นาที ที่ฉันนั่งอยู่กลางวงล้อมของพลุและดอกไม้ไฟ...แบบใกล้ที่สุดในชีวิต...หลังจากเสียงพลุ เงียบลง...ฉันกลับได้รู้ว่า...บางสิ่งที่มันอัดแน่นทับถมอยู่ในใจฉันเป็นระยะเวลา 1 เดือน...จู่ๆมันก็อันตธานหายไปอย่างเหลือเชื่อ...ฉันลองคิดถึงทุกเรื่องราวที่ฉันเคยคิดแล้ว...เจ็บ...แม้แต่ก่อนหน้าเสียงพลุจะดังขึ้นฉันยังเจ็บอยู่...แต่เวลานี้มันกลับไม่ได้สร้างหรือตอกย้ำรอยแห่งความเจ็บปวดนั้นหลงเหลือไว้ให้ฉันอีกแล้ว...อย่าถามฉันว่าเพราะอะไร...เพราะตอนนี้ฉันก็ยังตอบตัวเองไม่ได้...ฉันไม่บอกหรอกว่าคุณจะเกิดปาฎิหาริย์ เหมือนอย่างฉัน...
แต่สิ่งที่ต้องการสื่อ คือความทุกข์มันจะหาย และจางลงไปจนไม่เห็นริ้วรอยใด ๆ ไม่ว่าทางออกของคุณคือวิธีใดก็ตาม หากคุณตั้งใจที่แก้มันด้วย สติและปัญญา และสุดท้ายความผิดหวัง ไม่มีวันฆ่าคุณ...นอกจากคุณสิ้นคิดทำตัวเอง
กินเหล้า กินยานอนหลับ แบบต่อเนื่องคือกินให้หลับ...หมดฤทธิ์ยา...ก็ตื่นขึ้นมากินต่อ...เพื่อให้หลับ ๆ และหลับหวังเพื่อจะได้ไม่ต้องตื่นมาคิดอะไรอีก...แต่มันก็ไม่ได้ผลอะไรนอกจาก...ฉันเหมือนคนตายที่ยังหายใจ...และร้องไห้แบบสลึมสลือ... ตัวหลับแต่ใจไม่หลับ...มันยังเจ็บทั้งที่ร่างกายอยู่ในความหลับใหล (คิดแล้วอนาถตัวเองช่างโง่สิ้นดี ดังคำของพี่ที่พูดว่า โง่แล้ว ยังโง่อีก แล้วก็ยังโง่อีก) วันนั้นที่เสม็ดคำตอบที่ฉันหาให้กับตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร...อาการป่วยทางใจขั้นสาหัสของฉัน... ถึงได้มลายหายไปเหมือนเสกได้...จะด้วยคำอวยพรที่ดูเหมือนเป็นคำสอนของพี่ชาย...ที่ว่า ส่งความสุข ความอยากอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้สนองความอยาก มันก็เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่ง เอาชนะความอยากให้ได้ แล้ว ความทุกข์ใจจะห่างไกลคุณออกไปเองพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่เห็นความจำเป็นต้องมีใหม่ มีอีก หรือมีไว้ จึงทำให้ใจไม่ทุกข์ไปกับความอยากได้ กับความห่วงหวง กับความเสียดาย ขอให้เวลาแห่งการข้ามผ่านพ้นแห่งปี 2552 เข้าสู่ปี 2553 ขอน้องสาวพี่จงมีแต่ความสุขสมหวัง มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้าและวันหลัง เรื่องที่ผ่านไปแล้ว มันก็ผ่านไปแล้วเหมือนวันวาน อย่าไปเก็บเอามาเป็นหนามทิ่มแทงตัวเองอีกเลย สวัสดีปีใหม่ 2553 หรือธรรมะจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นของพลุ...ที่สอนให้ฉันได้เข้าใจโลกไปตามความเป็นจริงว่า..เกิดขึ้น...มีอยู่...ดับไป...สิ่งที่ฉุดฉันออกมาจากนรกในใจ...จากพลุนับร้อยนัดที่ถูกจุดขึ้น...ดังขึ้น...สว่างไสว...แล้วสุดท้ายก็ดับไป...ในที่สุดฉันก็สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้วว่า...สุดท้ายมือที่ดึงฉันมาจากหุบเหวแห่งความทุกข์...คือสิ่งที่ฉันคิดว่าไม่มีทางช่วยฉันได้อย่างแน่นอน คือ...ธรรมะของพระพุทธองค์








13 Feb 2010  |  Post by : warachaya2517
Comment 1
โอ้โห ขอบคุณมากค่ะสำหรับกระทู้นี้
เกิน 50 เปอร์เซ็นที่เหมือนกันค่ะ
แต่เราใช้เวลารักษาใจตัวเองซึ่งมัน
กินเวลานานมากกก

อ่านแล้วน้ำตาคลอพอย้อนกลับไปมองตัวเอง
ขอบคุณค่ะ

28 Feb 2010  |  Comment by : koymemory

Comment


>

Pooyingnaka Quiz

Webboard
โพสต์โดย: ชัย71 3
โพสต์โดย: mn7737 0
โพสต์โดย: Nuttnich 13
โพสต์โดย: Momay 11
โพสต์โดย: rujrawee 0
โพสต์โดย: wairai79 3
โพสต์โดย: butterflyzaza 1
โพสต์โดย: pk400 0

Interest Product