Talk About Women

เจ็ดข้อต้องจำ (สำหรับการกิน)
ข้อที่ 1 ฟังร่างกายไม่ใช่หัวใจ

ปล่อยให้การตัดสินใจในเรื่องอื่น ๆ เป็นหน้าที่ของหัวใจไป แต่สำหรับการกินแล้วเชื่อร่างกายเอาไว้ให้มาก ๆ เพราะร่างกายรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เวลาแห่งการกินแล้ว เมื่อไหร่ยังไม่ถึงเวลาเนื่องจากจะมีสัญญาณตามธรรมชาติเรียกร้องมา ไม่เคยสักครั้งที่จะหยุดส่งเสียงเรียกร้องที่ว่านี้ แต่ร่างกายต่างคนต่างก็แตกต่างกันไปในเรื่องการกินนี้

ข้อที่ 2 กินเมื่อรู้สึกหิว

อาการอย่างนี้นะที่เรียกว่าหิว

รู้สึกท้องว่าง
รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง
กระสับกระส่าย ขาดสมาธิ
ปวดท้อง
รู้สึกว่าต้องหาอะไรมากินซะแล้ว

แต่อาการอย่างนี้ไม่เรียกว่าหิวนะ

ได้กลิ่นหรือยลโฉมอาหารแล้วอยากกินมาก
ลองเปิด ๆ ตู้กับข้าวแล้วเจออะไรอร่อย ๆ มาสนองความต้องการ
โกรธหรือกังวลมากจนต้องหาอะไรมาคลายเหงาในปาก
กระหายน้ำ
หมดเรี่ยวหมดแรงอันเป็นผลมาแต่การนอนดึกจากเมื่อคืน
เศร้า โกรธหรือผิดหวัง

ข้อที่ 3 กินก็คือกิน

ร่างกายของคนเรามีความรู้สึกและมันจะสื่อสารความรู้สึกแก่เราเสมอ ขอเพียงแต่ให้ทำตามความรู้สึกนั้นโดยที่ยังรู้สึกตัวเสมอก็เพียงพอ เมื่อหิวก็ต้องกิน เมื่อกินก็ต้องกินดังนี้

นั่งลงตลอดเวลาที่กำลังอยู่ในมื้ออร่อย
อย่าพยายามทำกิจกรรมอื่นระหว่างที่กำลังอร่อยกับมื้ออาหารไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ไปจนถึงขับรถ
ตักอาหารแต่พอเพียงและวางช้อนลงเถอะจนกว่าจะปากว่าง

ข้อที่ 4 ไม่ต้องรอจนท้องตึง ถ้ารู้สึกพอก็เลิกกินได้

เพราะร่างกายของคุณไม่ได้สร้างมาเพื่อการรองรับอาหารที่มากจนเกินพอดี มีแค่เพียงหัวใจของคุณเท่านั้นที่พร้อมจะรับความอิ่มเอิบเกินพอดี ร่างกายคุณน่ะมันเรียกร้องการหยุดนะถ้ารู้สึกว่าเกินพอ สัญญาณต่อไปนี้เป็นเวลาที่ร่างกายคุณกำลังพอเพียงกับอาหาร

หายท้องกิ่วเพราะหิวแล้ว
กำลังสบาย ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าท้องบรรจุอาหารเต็มไปหมด
รู้สึกสดชื่น มีกำลังวังชาดี
ที่จริงก็สามารถกินได้อีกนะ แต่รอไว้มื้อหน้าค่อยกินก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร
เริ่มรู้สึกว่าของที่กินลงไปก็ไม่ต่างจากทรายหรือกระดาษแข็ง
แต่ในกรณีเช่นนี้คือสัญญาณบ่งบอกว่าอิ่มเกินพอ

รู้สึกว่าท้องเต็มไปด้วยอาหาร
รู้สึกว่าเสื้อผ้าเริ่มรัด เข็มขัดต้องเริ่มปลดออก
รู้สึกว่าท้องอืด ๆ กดหน้าอก กดท้องแล้วเหมือนดั่งมีกรดอยู่ในนั้นเต็มไปหมด
รู้สึกเฉื่อยชา เกียจคร้าน ง่วงนอน ไม่สบายกาย

ข้อที่ 5 กินในสิ่งที่ต้องการ

มีความลับบางอย่างมาบอกเพื่อเป็นกำลังใจให้คุณ ไม่มีอาหารวิเศษลดความอ้วนที่ได้ผลชะงัดหรอก มันอยู่ที่ว่ากินเมื่อไหร่และกินอย่างไรมากกว่า ถ้าไม่หิวแล้วไปลืมตัวกินหรือกินมากเกินความพอดี แทนที่อาหารจะได้นำไปใช้เป็นพลังงานกลับต้องกลายมาเป็นไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังแทน ปริมาณอาหารที่เพียงพอเพื่อการควบคุมน้ำหนักก็คือ กึ่งกลางระหว่างความหิวและความพอใจที่จะกิน

ข้อที่ 6 ใส่ใจในสิ่งที่เกิดหลังกินเสร็จ

บางครั้งสิ่งที่ดูน่าอร่อยทางปากและทางตาแต่อาจจะไม่เหมาะกับร่างกายก็ได้ ถ้าเจออาหารพวกนี้ก็งดไว้จะดีกว่า วิธีพิสูจน์ก็ง่ายแสนง่าย

ตอนคุณหิว คุณอยากลิ้มรสอะไร?
ถ้าได้กินสักนิดคุณจะอร่อยไหม? แน่นอนถ้าร่างกายคุณปรารถนามันอร่อยแน่
แต่หลังจากที่ได้ลองลิ้มชิมรสไปแล้วสักครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทีนี้แหละคุณรู้สึกอย่างไร?
ถ้ายังหรรษาพาเพลินกับรสชาตินั้นแสดงว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย วันหลังทานอีกก็เอาแค่พอเหมาะ
แต่ถ้าเกิดกรด เกิดแก๊ส เป็นสาเหตุแห่งความไม่สบายกายต่าง ๆ ทั้งความคลื่นเหียน วิงเวียน แสดงว่าเป็นอาหารที่แย่ซะแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่ก่อนกินน่ะหิวแสนหิว น่าจะเป็นเพราะอาหารนั้นไม่ดี ลบออกจากใจได้เลย หรือไม่ก็เป็นเพราะคุณกินเยอะไป วันหลังก็ลดปริมาณลงหน่อย ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลร้ายมากกว่านี้ก็คือน้ำหนักเพิ่ม

ข้อที่ 7 กับความรู้สึกตัวเอง อย่าใช้ของกินบำบัด

เคยไหมที่รู้สึกเหงา บ่อยครั้งก็เศร้า บางครั้งก็เบื่อ ๆ แต่รู้ไว้อย่างว่าถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนั้นหาทางแก้ที่ต้นเหตุดีกว่า อย่ามาลงกับบรรดาของกินเล่นทั้งหลายเลย เค้กเนยเอย ช็อคโกแล็ตเอย มันฝรั่งเอย พิซซ่าเอย อะไรแบบนี้น่ะ เก็บไว้แชร์กับเพื่อน ๆ กินกันตอนปรับทุกข์จะดีกว่า อย่างน้อยบรรดามิตรสหายก็จะมาช่วยแบ่งเบาน้ำหนักให้คุณในขณะที่พวกเค้าก็ช่วยกันแบ่งเบาความรู้สึกของคุณไปด้วย

7 ข้อต้องท่องจำเพื่อส่งเสริมนิสัยการกินที่ดีและเพื่อรักษาน้ำหนักให้คุณเอง


13 Feb 2010  |  Post by : GGuruGirl

Comment


>

Pooyingnaka Wellness

Webboard
โพสต์โดย: ผู้หวังดี 1
โพสต์โดย: admin 0
โพสต์โดย: pinkbear 0
โพสต์โดย: nongja 6
โพสต์โดย: mybee 2
โพสต์โดย: mewwty 1
โพสต์โดย: dudesweet 0
โพสต์โดย: bornlippy 5

Interest Product