โดยธรรมชาติแล้ว
หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงตกไข่โอกาสตั้งครรภ์มีประมาณ 20%
กรณีคู่สมรสที่มีปัญหามีบุตรยาก โอกาสตั้งครรภ์ขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ เช่น
หญิงอายุน้อยมีปัญหาไข่ไม่ตก มีโอกาสตั้งครรภ์มากกว่าหญิงอายุมาก เป็นต้น ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ทาง
โรงพยาบาลนำมาใช้รักษาคู่สมรสที่มีบุตรยาก หรือคู่รักที่กำลังประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก
ก็คือ การทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการทำเด็กหลอดแก้วมาบ้างแล้ว
แต่อาจจะยังลังเลว่าเทคโนโลยีการทำเด็กหลอดแก้วที่ว่านี้มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ถ้าพร้อมแล้วเราลองไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกันเลยค่ะ
เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
(การทำเด็กหลอดแก้ว) คือการฉีดยาเพื่อกระตุ้นรังไข่ แล้วเจาะดูดไข่ออกมาผสมกับอสุจิในงานทดลอง
แล้วเลี้ยงจนเป็นตัวอ่อน (embryo culture) อายุ
3-5 วัน (ตัวอ่อนอายุ 5 วัน เรียก blastocyst) แล้วจึงย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว
มีดังนี้
1.กระตุ้นรังไข่ให้ฟองไข่โตพร้อมกันหลาย
ๆ ใบ โดยปกติจะเริ่มกระตุ้นรังไข่ในวันที่ 2-3 ของรอบเดือน
ด้วยการฉีดยาติดต่อกันเฉลี่ยแล้วจะฉีดประมาณ 8-12 วัน
ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยเอง โดยปกติจะต้องการไข่จำนวน 8-15 ใบ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้หญิงแต่ละคน)
2.ตรวจติดตามการเจริญเติบโตของฟองไข่
แพทย์จะทำการใช้เครื่องอัลตราซาวด์ ร่วมกับการประเมินระดับฮอร์โมน
โดยการตรวจเลือดเป็นระยะ แพทย์จะให้ฉีดยาฮอร์โมน
ซึ่งจะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการสมบูรณ์ของฟองไข่ หลังจากนั้นจะทำการเจาะเก็บไข่ภายใน 34-36 ชั่วโมง เพื่อดูดเอาเซลล์ไข่ออกมาเตรียมปฏิสนธิภายนอกร่างกาย
3.เจาะเก็บไข่ การเจาะเก็บไข่ผ่านทางช่องคลอด
(ไม่มีแผลหน้าท้อง) ทำโดยใช้เครื่องอัลตราซาวด์บอกตำแหน่ง แล้วใช้เข็มเล็ก ๆ
เจาะไข่ออกมาจากรังไข่ แพทย์จะให้ยานอนหลับขณะเก็บไข่
เพื่อลดความเจ็บปวดขณะเจาะเก็บไข่ แล้วนำเซลล์ไข่จะถูกนำออกมาทำความสะอาดในน้ำยาสำหรับเพาะเลี้ยง
และเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการ เพื่อนำไปปฏิสนธิกับอสุจิ
4.เก็บน้ำเชื้อของฝ่ายชาย
ในวันที่ฝ่ายหญิงเจาะเก็บฟองไข่ ฝ่ายชายต้องมาเพื่อเก็บเชื้ออสุจิสำหรับปฏิสนธิ
โดยหลั่งอสุจิภายในภาชนะที่จัดไว้ ซึ่งเป็นภาชนะปราศจากเชื้อ
จากนั้นมาทำความสะอาดและคัดเลือกตัวที่แข็งแรง
ก่อนจะนำมาปฏิสนธิกับไข่ในห้องปฏิบัติการที่มีการควบคุมอุณหภูมิ ความดัน ความชื้น
และแสง โดยใช้เวลาเลี้ยงตัวอ่อนภายนอกร่างกายทั้งหมด 3-5 วัน
5.เลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ
โดยทั่วไปจะทำการเพาะเลี้ยงเป็นระยะเวลา 3-5 วัน
ในห้องปฏิบัติการที่ควบคุมปัจจัยที่เหมาะสมกับตัวอ่อนในบางรายที่มีข้อบ่งชี้อาจมีการตรวจโครโมโซมเพื่อหาความผิดปกติของตัวอ่อน
และแพทย์จะเลือกตัวอ่อนที่มีความสมบูรณ์ในการนำย้ายกลับสู่โพรงมดลูกต่อไป
6.ย้ายตัวอ่อนกลับสู่โพรงมดลูก
ทำโดยการใช้หลอดพลาสติกเล็ก ๆ สอดผ่านทางช่องคลอดเข้าไปในโพรงมดลูก
แล้ววางตัวอ่อนลงไปภายใต้การอัลตราซาวด์ดูตำแหน่งที่เหมาะสม ทั้งนี้ขณะใส่ตัวอ่อน
คนไข้จะรู้สึกตัวตลอดเวลา และไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ เมื่อใส่ตัวอ่อนเรียบร้อยแล้ว
แพทย์จะให้นอนพักอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนกลับบ้าน และเมื่อถึงบ้านให้นอนพัก
ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือการออกกำลังกายช่วงท้องน้อยหรือหน้าขา
และงดการมีเพศสัมพันธ์ ที่สำคัญคือ
การใช้ยาสำหรับสอดช่องคลอดและยาฮอร์โมนรับประทานตามคำสั่งของแพทย์ทุกวันจนถึงวันนัด
และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
7.ตรวจการตั้งครรภ์ หลังจากใส่ตัวอ่อนไปแล้ว
9-11 วัน แพทย์จะนัดเจาะเลือดตรวจหาระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์
ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยตรวจการตั้งครรภ์เอง เนื่องจากอาจมีความผิดพลาดได้
อย่างไรก็ตามการรักษาการมีบุตรยากไม่ได้มีแค่
การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF เท่านั้น
แต่ยังมีวิธีการอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับอาการป่วยของแต่ละคู่ ในมุมที่แตกต่างกันไป
โดยเปรียบเทียบ ข้อดี – ข้อเสีย ก่อนที่จะทำให้รอบครอบเพื่อหาทางออกและวิธีที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสมกับคู่ของตนเองให้ได้มากที่สุดค่ะ
#เด็กหลอดแก้ว