สิ่งควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก รวมทุกคำถามเพื่อปากสวย
ฟิลเลอร์ปาก คืออะไร ข้อดี ข้อเสีย แก้ไขทุกปัญหาโดยฟิลเลอร์ปากให้ ปากอิ่ม, ปากสวย, ปากกระจับ เลือกฉีดอย่างไรให้ปลอดภัย
อยากมีริมฝีปากอิ่มสวย แบบธรรมชาติ การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ แต่ก่อนตัดสินใจ ควรทำความเข้าใจข้อมูลให้รอบด้าน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกใจและปลอดภัย บทความนี้จะพาคุณไปไขข้อข้องใจทุกข้อเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก ตั้งแต่การเลือกคลินิก แพทย์ สารเติมเต็ม ตอบคำถามที่พบเจอบ่อยเช่น sculptra vs ฟิลเลอร์ปาก อธิบายว่าฟิลเลอร์ปาก คืออะไร ไปจนถึงการดูแลหลังฉีด เพื่อให้คุณมั่นใจและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง อย่าพลาด! เราได้รวบรวมคำถามที่คนอยากรู้มากที่สุดเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปากมาให้คุณแล้ว
ฟิลเลอร์ปาก คืออะไร
การฉีดฟิลเลอร์ปากคือ การเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม เรียบเนียน ปรับรูปทรง และเพิ่มความชุ่มชื้น โดยใช้สารเติมเต็มผิว หรือ Dermal Fillers ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณริมฝีปาก
ฟิลเลอร์ปากแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ตามระยะเวลาที่สลายตัว ได้แก่
1. ฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราว (Temporary Dermal Fillers): ย่อยสลายได้เองภายใน 6-18 เดือน ปลอดภัยสูง ต้องฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
สารที่นิยม: กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid), คอลลาเจน (Collagen), แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite)
2. ฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวร (Semi-Permanent Dermal Fillers): สลายตัวได้เองภายใน 2 ปีขึ้นไป เนื้อสัมผัสแข็งกว่า เหมาะกับการเติมร่องลึก
สารที่นิยม: โพลีแลกติกแอซิด (Poly Lactic Acid), โพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyalkylimide)
3. ฟิลเลอร์ชนิดถาวร (Permanent Dermal Fillers): คงอยู่ในผิวหนังอย่างถาวร เหมาะกับการเติมร่องลึก แก้ไขได้ยากหากเกิดปัญหา
สารที่นิยม: โพลีเมทิลเมทาคริลิค (Polymethylmethacrylate หรือ PMMA)
โดยฟิลเลอร์ปาก filler ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการฉีดปากคือ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid) เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และนอกจากสารสังเคราะห์แล้ว ยังมีการฉีดไขมัน (Fat transfer) อีกด้วย วิธีนี้ใช้ไขมันของผู้เข้ารับการรักษาเอง จึงมีความปลอดภัยสูง แต่ไม่เป็นที่นิยมสำหรับการฉีดริมฝีปาก เพราะทำให้เกิดอาการบวมช้ำ เจ็บ และผลลัพธ์ในการเติมเต็มริมฝีปากไม่ดีเท่ากรดไฮยาลูรอนิก
ฟิลเลอร์ปาก vs Sculptra
Sculptra เอามาฉีดแทนฟิลเลอร์ปากได้ไหม?
คำตอบคือ ไม่แนะนำ ให้ใช้ Sculptra ฉีดบริเวณริมฝีปาก เนื่องจาก Sculptra มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ และเนื้อสัมผัสของ Sculptra ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับการเติมเต็มริมฝีปาก อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ก้อนแข็ง รูปทรงผิดปกติ ได้
คุณเหมาะกับฉีดฟิลเลอร์ปากหรือเปล่า?
อยากมีริมฝีปากสวย อวบอิ่ม น่าจุ๊บ แต่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปากหรือเปล่า? ฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใคร? ลองมาเช็คลิสต์นี้กันค่ะ
● อยากเปลี่ยนรูปทรงริมฝีปาก: ไม่ว่าจะปรับทรงปากให้ดูอวบอิ่มแบบสาวเกาหลี หรือทรงปากกระจับแบบสายฝอ ก็ทำได้
● เริ่มรู้สึกว่าปากไม่เหมือนเดิม: กาลเวลาทำร้ายทุกอย่าง แม้แต่ริมฝีปาก! คอลลาเจนที่ลดลง ทำให้ปากดูบาง เหี่ยว มีริ้วรอย ขาดความชุ่มชื้น ฟิลเลอร์ปากช่วยคืนความอ่อนเยาว์
● ผู้ที่มีปัญหาการสบฟัน: ส่งผลกระทบต่อรูปปาก ทำให้ริมฝีปากบนหรือล่างยื่น เสียความมั่นใจ ฟิลเลอร์ปากช่วยแก้ไขจุดบกพร่อง
● ผู้ที่ต้องการปรับรูปปาก แต่ไม่ต้องการศัลยกรรม: การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นทางเลือกที่เจ็บน้อยกว่าการศัลยกรรม และเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ปลอดภัยกว่า
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก มีอะไรบ้าง?
เช็คลิสต์ เตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก เพิ่มความมั่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวล
การฉีดฟิลเลอร์ปาก ถึงจะเป็นหัตถการความงามที่มีความปลอดภัยสูง แต่การเตรียมตัวที่ดี จะช่วยลดความเสี่ยง และทำให้ผลลัพธ์ออกมาสวย ปัง ตรงเรฟ มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง!
1. การเลือกคลินิก และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
● หาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน: เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย มีใบอนุญาตประกอบกิจการถูกต้อง
● เช็คประวัติแพทย์: เลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ มีประสบการณ์ ผลงานเป็นที่น่าเชื่อถือ
● อ่านฟิลเลอร์ปาก รีวิว: ศึกษาประสบการณ์จริงจากผู้ใช้บริการรายอื่นๆ
● ตรวจสอบฟิลเลอร์: มั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้ ผ่าน อย. มีคุณภาพ
2. เตรียมร่างกายให้พร้อม
● งดยาและวิตามินบางชนิด: อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงด
๏ ยาทาหรือครีมผลัดเซลล์ผิว
๏ ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ibuprofen, diclofenac, ponstan
๏ วิตามิน St.Johns Wort, ginkgo biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
● งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด: เช่น การออกกำลังกายหนัก เลเซอร์ ทรีทเมนต์ต่างๆ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
● พักผ่อนให้เพียงพอ: ดื่มน้ำมากๆ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
3. แจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์
● โรคประจำตัว: แจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว ยาที่ใช้เป็นประจำ ประวัติการแพ้ยา หรืออาหาร
● ประวัติการฉีดฟิลเลอร์: หากเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อน ควรแจ้งข้อมูลชนิดของฟิลเลอร์ สถานที่ฉีด และระยะเวลาที่ผ่านมา
การเตรียมตัวที่ดี คือจุดเริ่มต้นของริมฝีปากสวยอย่างมั่นใจ ปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณ
หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรดูแลตัวเองอย่างไร?
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามตามที่ต้องการ และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
สิ่งที่ควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
● ประคบเย็น: ใช้ผ้าสะอาดห่อเจลประคบเย็น ประคบบริเวณที่ฉีด ประมาณ 15-20 นาที ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก ช่วยลดอาการบวมและช้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
● หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากๆ: เช่น การออกกำลังกายหนัก การยกของหนัก ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันอาการบวม
● งดสัมผัส กด นวด บริเวณที่ฉีด: เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
● นอนหนุนหมอนสูง: และหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ ในช่วง 2-3 คืนแรก
● งดความร้อน: เช่น ซาวน่า ห้องอบไอน้ำ การอาบน้ำอุ่นจัด แสงแดดจัด เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
● งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่: อย่างน้อย 1 สัปดาห์
● รับประทานยาตามแพทย์สั่ง: เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ
● พบแพทย์ตามนัด: เพื่อติดตามผลการรักษา และตรวจสอบอาการ
สิ่งที่ควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
● อาการบวม ช้ำ: เป็นอาการปกติหลังการฉีด มักหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
● การติดเชื้อ: สังเกตอาการผิดปกติ เช่น บวม แดง ร้อน ปวด บริเวณที่ฉีด มีไข้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
● การเกิดก้อน: หากคลำพบก้อนแข็งผิดปกติบริเวณที่ฉีด ให้รีบกลับไปพบแพทย์
● ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ: ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อประเมินและแก้ไขอย่างถูกวิธี
การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณมีริมฝีปากสวย ได้รูป อย่างปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ผลข้างเคียงที่อาจพบหลังการฉีดฟิลเลอร์ปาก พร้อมวิธีรับมือเบื้องต้น
หลายคนอาจกังวลใจว่าจะเกิดผลข้างเคียงหรือฟิลเลอร์ปากมี ข้อเสียอะไรบ้าง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้ค่ะ
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยหลังการฉีดฟิลเลอร์ปาก
● บวม ช้ำ: เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดหลังการฉีดฟิลเลอร์ โดยเฉพาะบริเวณที่ฉีด อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
● แดง ปวดร้อน: อาการแดงและร้อนบริเวณที่ฉีด อาจเกิดจากการระคายเคืองเล็กน้อยหลังการฉีด
● คัน: อาการคันอาจเกิดขึ้นได้บ้างเล็กน้อย
● มีรอยเข็ม: เป็นรอยแดงเล็กๆ จากเข็มฉีดยา จะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้น้อยหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก filler
● การติดเชื้อ: อาการติดเชื้อมักเกิดจากการดูแลความสะอาดไม่เพียงพอ
● การอักเสบ: อาจเกิดจากการแพ้สารเติมเต็ม หรือการฉีดเข้าเส้นเลือด
● การเกิดก้อน: อาจเกิดจากการที่สารเติมเต็มกระจายตัวไม่เท่ากัน
● ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง: อาจเกิดจากการประเมินปริมาณสารเติมเต็มที่ไม่เหมาะสม หรือเทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง
วิธีรับมือกับผลข้างเคียง
● ประคบเย็น: ช่วยลดอาการบวมและช้ำ
● รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง: เพื่อบรรเทาอาการปวดและอักเสบ
● หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด: เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
● หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: เพราะจะทำให้เลือดสูบฉีดเร็วขึ้น อาจทำให้อาการบวมช้ำรุนแรงขึ้น
● ปรึกษาแพทย์: หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลข้างเคียงในการฉีด ฟิลเลอร์ปาก
● ประเภทของสารเติมเต็ม: สารเติมเต็มแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน
● เทคนิคการฉีด: แพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้
● การดูแลหลังการฉีด: การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ฟิลเลอร์แท้ VS ฟิลเลอร์ปลอม
ความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพอใจจากการฉีดฟิลเลอร์ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสารเติมเต็ม ควรเลือกใช้แต่ฟิลเลอร์แท่เท่านั้น การเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย. จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
วิธีเลือกฟิลเลอร์แท้
1. เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน: คลินิกที่มีชื่อเสียง มีใบอนุญาตถูกต้อง และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะเป็นตัวการันตีได้ว่าคุณจะได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและปลอดภัย
2. สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสารเติมเต็ม: ขอให้แพทย์อธิบายเกี่ยวกับชนิดของสารเติมเต็มที่ใช้ เช่น ยี่ห้อ ชื่อทางการค้า และเลขทะเบียน อย.
3. ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์: บรรจุภัณฑ์ของฟิลเลอร์แท้จะมีฉลากภาษาไทยที่ระบุรายละเอียดของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน เช่น ชื่อผลิตภัณฑ์ เลขทะเบียน อย. และวันหมดอายุ
4. ขอใบรับรอง: หลังการฉีด ควรขอใบรับรองการรักษา เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าคุณได้รับการฉีดฟิลเลอร์แท้
อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม
หากพลาดไปฉีดฟิลเลอร์ปลอม อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้หลากหลาย ดังนี้
● การติดเชื้อ: สารเติมเต็มปลอมอาจปนเปื้อนเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อบริเวณที่ฉีด
● การแพ้: ร่างกายอาจเกิดอาการแพ้ต่อสารเติมเต็มปลอม ทำให้เกิดผื่นคัน บวมแดง หรืออาการแพ้รุนแรง
● การอุดตันของหลอดเลือด: หากสารเติมเต็มปลอมเข้าสู่หลอดเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
● การผิดรูป: สารเติมเต็มปลอมอาจทำให้เกิดการผิดรูปของบริเวณที่ฉีด เช่น ปากเบี้ยว แก้มไม่เท่ากัน
● การสลายตัวได้ยาก: สารเติมเต็มปลอมบางชนิดอาจไม่สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ ทำให้ต้องใช้การผ่าตัดเพื่อเอาออก
ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดฟิลเลอร์ปลอมมักไม่เป็นที่น่าพอใจ และอาจต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขที่สูงกว่า ดังนั้น การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ และเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาความงาม
ฉีดฟิลเลอร์ปากราคาเท่าไหร่?
ฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไหร่? ราคาฟิลเลอร์ปาก นั้นค่อนข้างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
● ยี่ห้อฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อจะมีคุณภาพและราคาแตกต่างกันไป
● ปริมาณที่ฉีด: ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล
● คลินิก: ค่าบริการของแต่ละคลินิกจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ความสะดวกสบาย และชื่อเสียงของคลินิก
โดยทั่วไป ราคาฟิลเลอร์ปาก 1 ซีซี จะอยู่ที่ประมาณ 6,000 - 20,000 บาท
เคล็ดไม่ลับในการเลือกคลินิกเพื่อฉีดฟิลเลอร์ปาก
● อ่านรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการ เพื่อดูผลลัพธ์และความพึงพอใจของลูกค้าคนอื่นๆ
● สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับคลินิก แพทย์ และฟิลเลอร์ที่ใช้
● เปรียบเทียบราคาของหลายๆ คลินิก เพื่อเลือกราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณ
● ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสม
● ก่อนตัดสินใจทำการรักษา ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกและสารเติมเต็มให้ละเอียด
● ไม่ควรเลือกคลินิกที่ราคาถูกเกินจริง เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน
● ขอคำแนะนำจากเพื่อนหรือญาติที่เคยทำการรักษา จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น