สรุปข้อมูล ! เสริมจมูก แบบปิด-โอเพ่น มีข้อดีต่างกันอย่างไร
ในปัจจุบันการทำศัลยกรรมเปิดกว้างและเป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยเฉพาะการเสริมจมูก ที่เรียกว่าเป็นเบสิคของการทำศัลยกรรมเลยก็ว่าได้ ใครหลายคนเริ่มเข้าวงการศัลยกรรมก็มาจากการเสริมจมูกนี่แหละค่ะ แน่นอนว่าก็มีเทคโนโลยีที่จะช่วยให้จมูกของเราสวย โด่ง อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะเสริมจมูกทั้งที ก็ควรจะเลือกที่ใช่ แบบที่ชอบ แค่นี้ก็สวยปังแล้วล่ะค่ะ
ส่วนสำคัญของทรงจมูก
ก่อนที่จะเสริมจมูก เราควรรู้โครงสร้างของใบหน้าซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดเป็นรูปทรงของจมูกที่สวยงามมีด้วยกัน 3 ส่วน ได้แก่
- ดั้ง เป็นส่วนที่เป็นปัญหามากที่สุดของคนไทย จึงทำให้ความต้องการที่จะเสริมจมูกมีมากขึ้น บางคนอยากได้โด่ง ๆ บางคนอยากได้ปลายเชิด
- กลางจมูก บางคนมีจมูกเป็นคลื่น และมีเนื้อในส่วนนี้ที่มากเกินไป ทำให้จมูกดูโต ไม่รับกับใบหน้า
- ปลายจมูกเป็นส่วนที่หลายคนต้องการปรับแต่ง เช่น ตัดปีกจมูก เพื่อให้ได้รูปทรงที่สวยงามยิ่งขึ้น
การเสริมจมูกมีกี่วิธี อะไรบ้าง
สำหรับการเสริมจมูก โดยทั่วไปเราจะแบ่งวิธีการเสริมจมูกออกเป็น 2 วิธี ดังนี้
- การเสริมจมูกแบบปิด
การเสริมจมูกโดยใช้เทคนิคแบบปิด แพทย์จะทำการเปิดแผลภายในจมูกเพื่อใส่ซิลิโคน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่จะรบกวนโครงสร้างพื้นฐานของจมูกน้อยที่สุด และจากนั้นจะทำการเก็บบาดแผลไว้ภายในจมูก
วิธีนี้เหมาะสำหรับ : ผู้ที่มีพื้นฐานจมูกที่ดี ตั้งแต่ดั้งจนถึงปลายจมูก
ข้อดี :
- ราคาไม่สูงเท่ากับการเสริมจมูกแบบเปิด
- มีอาการบวมช้ำน้อย บางรายก็อาจจะไม่บวมเลย โดยที่เราจะยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ
- ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน ประมาณ 30 นาที และยังพักฟื้นไม่นานอีกด้วย
- การเสริมจมูกแบบเปิด
การเสริมจมูกแบบเปิด หรือ Open Rhinoplasty จะใช้เทคนิคการสร้างใหม่เพื่อปรับโครงสร้างจมูก โดยจะไม่ใช้ซิลิโคนในการเสริม ซึ่งจะสามารถที่จะปรับโครงสร้างจมูกเป็นรูปแบบใดก็ได้ตามความต้องการ ทำให้จมูกสวยได้รูปและดูเป็นธรรมชาติ โดยวิธีการนี้จะเปิดแผลบริเวณฐานจมูก
จากนั้นกรีดผ่าออกในแนวดิ่ง เพื่อให้เห็นแกนจมูก แล้วทำการแยกเนื้อและผิวหนังออกจากโครงสร้างของจมูก โดยความพิเศษของการเสริมจมูกด้วยวิธีนี้ จะไม่ใช้ซิลิโคนในการทำ แต่จะใช้การยืดปลายจมูกให้โด่งและมีความพุ่งขึ้น ด้วยกระดูกอ่อนกลางจมูก ซึ่งกระดูกในส่วนนี้จะเป็นส่วนเดียวในร่างกายที่มีลักษณะที่แข็งแรง แบน และเรียบตรง แพทย์จะทำการผ่าตัดเอากระดูกอ่อนที่ว่านี้ออกสัก 2/3 เพื่อไว้ช้สำหรับเสริมปลายจมูกให้ดูพุ่ง จึงเรียกได้ว่าไม่ได้ใช้ซิลิโคนมาเสริมเลย
วิธีนี้เหมาะสำหรับ : ผู้ที่มีรูจมูกเชิด ปลายจมูกสั้น และต้องการแก้ไขทรงจมูกให้ยาวขึ้น พุ่งขึ้น หรือแม้กระทั่งการทำจมูกทรงหยดน้ำให้เป็นธรรมชาติก็ตาม
ข้อดี :
- สำหรับผู้ที่มีปัญหาจมูกผิดรูปมาก ๆ วิธีนี้จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและครบถ้วน
- การตกแต่งปลายจมูกให้โด่ง เชิด จะดูสวยงามเป็นธรรมชาติ เนื่องจากการทำจมูกแบบเปิดหรือโอเพ่นนั้นจะใช้เทคนิคการทำอวัยวะส่วนอื่นในร่างกายอย่างกระดูกอ่อนหลังใบหูมาตกแต่งเพิ่มเติม ซึ่งทำให้โอกาสที่ซิลิโคนทะลุก็จะไม่มี
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเสริมจมูก
- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำ, ยารักษาโรคประจำตัว, ประวัติการผ่าตัดและการแพ้ยา
- ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการผ่าตัด
- งดรับประทานวิตามินและอาหารเสริมต่าง ๆ ทุกชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันตับปลา ใบแปะก๊วย ควรงดการรับประทานยาล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน
- ควรสระผมให้สะอาดเรียบร้อยก่อนวันผ่าตัด และใม่แต่งหน้าในวันผ่าตัด รวมถึงงดการใส่คอนแทคเลนส์ในวันผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนและหลังผ่าตัด เนื่องจากสารที่อยู่ในบุหรี่มีผลลดปริมาณออกซิเจนในเลือดและทำลายเซลล์ที่จะซ่อมแซมการการรักษาแผลให้หาย ซึ่งส่งผลให้เลือดที่จะมาเลี้ยงบริเวณที่ผ่าตัดลดลง โดยอาจจะมีโอกาสให้ให้ผิวหนังที่ผ่าตัดขาดออกซิเจน ทำให้บาดแผลหายช้าลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
คำแนะนำหลังการผ่าตัดเสริมจมูก
- หลังการผ่าตัดเสริมจมูกใน 24 ชม. สามารถทำความจมูกได้ด้วยการใช้ก้านสำลีชุบน้ำอุ่นเช้าเย็น
- ใช้หมอนหนุนศีรษะให้สูงในช่วง 7 วันแรกหลังการผ่าตัด และห้ามนอนตะแคงอย่างเด็ดขาด
- งดรับประทานอาหารรสเค็มและอาหารหมักดองอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- 5 วันแรกใช้การประคบเย็น และแกะพลาสเตอร์เพื่อทำความสะอาดใบหน้า จากนั้นจึงประคบอุ่นต่ออีก 7 วัน ในทุก ๆ 2 ชม. นาน 20 นาที
- งดดื่มแอลกอฮอล์และการรับประทานอาหารเสริม 1 เดือน
- โดยทั่วไปจะสามารถตัดไหมได้ภายใน 8 – 12 วันหลังจากการผ่าตัด
- แพทย์จะทำการนัด Follow up เพื่อตรวจเช็คแผล 1 เดือน หลังการผ่าตัด
- จมูกจะยุบตัวและเข้าที่ในช่วง 3 เดือนให้หลังขึ้นไป ซึ่งจะยุบบวมประมาณ 60% ใน 1 สัปดาห์ จากนั้นจะยุบ 80% ใน 1 เดือน หลังจากนั้นจะยุบและเข้าที่ 90 – 100 % ในอีก 3 – 6 เดือนถัดไป
จะสวยทั้งที ก็ควรจะสวยอย่างฉลาดและปลอดภัยนะคะ ถ้าใครได้อ่านข้อมูลข้างต้นนี้แล้วสนใจ ก็สามารถเลือกคลินิกที่ไว้ใจแล้วจัดสวยกันได้และอย่าลืมที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดด้วยน้า