อาการของหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นเกิดขึ้นมาจากระบบไฟฟ้าของหัวใจเอง
และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ความเครียด
และการสูบบุหรี่ เป็นต้น ถึงแม้โรคนี้จะป้องกันได้ยาก
แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจทั้ง EST และ
Echo ซึ่งการตรวจทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันดังนี้
การตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจแบบ
EST และ Echo เพื่อป้องกันไม่ให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
1.การตรวจ
EST คือ วิธีการทดสอบสมรรถภาพของหัวใจ
โดยให้ผู้ป่วยออกกำลังกายต่าง ๆ เช่น วิ่งบนลู่วิ่ง หรือการตรวจวิ่งสายพาน
และปั่นจักรยาน
วิธีดังกล่าวจะเป็นการสร้างแรงเค้นต่อกล้ามเนื้อหัวใจเพื่อตรวจสอบว่า
ขณะที่ร่างกายกำลังออกกำลังอย่างหนักนั้นหัวใจมีภาวะขาดเลือดหรือไม่
เพราะขณะออกกำลังหัวใจจะต้องการเลือดและออกซิเจนมาหล่อเลี้ยง
หากมีเลือดและออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอจะส่งผลให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ
เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก ความดันเลือดลดลง และหัวใจเต้นผิดปกติ โดยเครื่อง EST แบ่งออกเป็น
2 ชนิด ได้แก่ แบบสายพานไฟฟ้า (Treadmill) สามารถปรับตั้งโปรแกรมการทดสอบได้หลากหลายกว่า
โดยสามารถปรับได้ทั้งความเร็วและความชันของสายพานวิ่ง และที่เป็นแบบจักรยาน (Bicycle
ergometer) เครื่องมือนี้จะมีราคาถูกกว่า
กินเนื้อที่ในการติดตั้งน้อยกว่า และยังใช้ได้ดีในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเดินกับการทรงตัวอีกด้วย
2. ECHO คือ
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram หรือ
Echocardiography) ใช้หลักการสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูงที่ปลอดภัย
โดยปล่อยคลื่นเสียงจากหัวตรวจ (Transducer) ซึ่งดูคล้ายไมโครโฟนผ่านผนังทรวงอกเข้าไปถึงหัวใจ
เมื่อคลื่นเสียงผ่านอวัยวะต่าง ๆ
ก็จะเกิดการสะท้อนกลับที่แตกต่างกันระหว่างน้ำกับเนื้อเยื่อ
คอมพิวเตอร์จะนำสัญญาณเหล่านั้นมาแปลงเป็นภาพแสดงบนหน้าจอ
การป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยเครื่อง
ECHO มีความปลอดภัยสูงจึงไม่ต้องงดน้ำและอาหาร งดอาหารแต่ในกรณีที่มียารับประทานเท่านั้น
โดยก่อนตรวจเจ้าหน้าที่จะให้เปลี่ยนเสื้อ หากเป็นผู้หญิงต้องถอดเสื้อชั้นในออกก่อน
โดยเจ้าหน้าที่จะทำการติดอุปกรณ์ เพื่อเฝ้าสังเกตคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การตรวจจะใช้เวลาประมาณ 20-40 นาที
หากผู้ป่วยเป็นเบาหวานและใช้อินซูลินอยู่ ให้ใช้อินซูลินครึ่งหนึ่งของปกติและให้งดอาหารเช้า
เว้นแต่แพทย์จะสั่งไม่ให้งด
หากผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานยารักษาอยู่ให้งดยาในตอนเช้า ส่วนการตรวจโดยวิธีการ EST จะใช้ในกรณีผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
แต่ไม่แสดงอาการผิดปกติ เช่น ผู้สูบบุหรี่จัด, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง, ผู้ป่วยเบาหวาน, ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเป็นต้นค่ะ
#หัวใจเต้นผิดจังหวะ